นายกฯ แจงผ่านรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน เดินทางเยือนต่างประเทศถี่เพื่อแนะนำตัว พร้อมต่อยอดการค้าการลงทุน หวังประเทศมีรายได้เพิ่ม ยืนยัน 1 เมษายน ผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาลโดยไม่ต้องถามสิทธิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้าวันนี้ (31 มี.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จัดรายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” ตามปกติ โดยมีนายธีรัตน์ รัตนเสวี เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงถึงเหตุผลในการปรับเปลี่ยนเวลาการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาเป็นวันพฤหัสบดี ที่ผ่านมาว่า มีเหตุผลสำคัญเพราะติดภารกิจที่ต่างประเทศ และมีงานวาระสำคัญที่จะต้องอนุมัติ จึงได้เลื่อนการประชุม รวมถึงในสัปดาห์หน้าก็จะมีการเลื่อนวันประชุม ครม.อีก เป็นในวันจันทร์ที่ 2 เมษายน เนื่องจากติดภารกิจเดินทางเข้าร่วมประชุมผู้นำอาเซียน ที่ประเทศกัมพูชา
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า การเดินทางเยือนต่างประเทศนั้น เนื่องจากวันนี้รายได้ของประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจในประเทศ และรายได้จากการส่งออก แต่อีกส่วนหนึ่งเรามองว่าถ้าเราไม่เตรียมการข้างหน้าในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศอื่นๆ รายได้ก็จะไปตามปกติ แต่ถ้าเราไปสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับนานาประเทศก็จะช่วยเรื่องการค้า การท่องเที่ยว ถ้าการท่องเที่ยวดี เศรษฐกิจดี การค้าการลงทุนก็จะกลับมา เป็นที่มาของการบริหารจัดการ
นอกจากนี้ยังเป็นภารกิจที่ต้องเดินทางตามนัดปกติตามธรรมเนียม เมื่อรัฐฐาลใหม่เข้ามาก็ต้องเดินทางไปเยี่ยมคารวะแนะนำตัว โดยกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศต้องไปแน่ๆ ซึ่งที่ผ่านมาไปแล้ว 9 ประเทศ เพื่อสร้างความแข็งแรงในกลุ่มอาเซียนที่จะจับมือกัน เพราะถ้าประเทศไทยคนเดียวเขาอาจจะไม่แข็งแรง แต่ถ้าเราผนึกกำลังกลุ่มอาเซียน ก็จะช่วยเรื่องการค้าการลงทุน และเป็นหน้าที่ของไทยที่จะดูว่าจะทำอย่างไรให้เขาใช้ไทยเป็นฐานการค้าการลงทุนต่ออีก
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ประเทศที่จะเดินทางไปจากนี้คือจีน ญี่ปุ่น อินเดีย และรัสเซีย ซึ่งเป็นส่วนที่ไทยต้องการค้าขาย หรือที่ไปที่สวิตเซอร์แลนด์ก็เป็นการหารือภาครัฐและเอกชนเรื่องเศรษฐกิจ หรือประชุมอาเซียนซัมมิตก็ไปอีก รวมไปถึงทีเกาหลีที่ก็ไปประชุมเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ มีทั้งรวมตัวในกลุ่มอาเซียนเพื่ออำนาจต่อรองและขณะเดียวกันก็สร้างการค้าการลงทุนในกลุ่ม เชื่อมโยงในกลุ่มเพื่อให้การค้าขายมีขึ้น เช่น การเปิดด่านกับประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย ทำให้มียอดการค้าหรือเศรษฐกิจมีมากขึ้น รวมไปถึงปูทางไปสู่ประชาคมอาเซียนด้วย ถ้าอยู่ในภาวะปกติอย่างน้อยก็ไปค้าง 1 คืน ไปทานอาหารเย็น ซึ่งเราเองก็ไม่มีเวลา เราก็ขอไปเช้าเย็นกลับ
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่มีการเดินทางก็ฝากงานกับรัฐมนตรีให้ดูงานในประเทศอย่างใกล้ชิด และการเดินทางไปต่างประเทศก็จำเป็นเพื่อสร้างความสัมพันธ์กันดี ซึ่งจะมีผลต่อการต่อยอดการค้าและเศรษฐกิจ เราต้องรีบหารือและสร้างความแข็งแกร่งในส่วนนี้
“เราต้องรีบร่วมมือกัน โดยเราก็จะคุยกันในเรื่องความร่วมมือในกลุ่มของประเทศอาเซียนใน 10 ประเทศ และเราก็จะมาดูว่าประเทศไทยจะกลับมาเตรียมตัวอย่างไร เช่น อุตสาหกรรมบ้านเรา ภาครัฐ หรือเอกชนในส่วนใดบ้างที่ต้องเตรียมตัวพัฒนา เพราะมีเวลาอีกไม่มากแล้ว เราก็รับหมดทั้งไปหารือความร่วมมืออาเซียน ทวิภาคีเพื่อดูเรื่องการค้าขาย รวมทั้งนำภาคธุรกิจไปด้วยพร้อมๆ กัน กรณีของจีนเอง จากก่อนหน้านี้ที่เราติดปัญหาเรื่องอุทกภัย เราก็เลื่อนเขามาหลายครั้ง ซึ่งที่จะไปจีนในครั้งนี้ ก็มีกำหนดการที่จะเดินทางไปจีน 17 เม.ย.นี้
ยังได้กล่าวถึงการลงนาม 3 กองทุนประกันสุขภาพ และกองทุนประกันภัย ว่า เพื่อเป็นการยกระดับ ในการดูแลประชาชน ส่วนอีกกองทุน คือ กองทุนประภันภันภัยนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และช่วยเหลือประชาชนให้เขาถึงประกันภัยในราคาที่ถูกลง
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการลงนาม 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนประกันสังคม, กองทุน 30บาทรักษาทุกโรค และสวัสดิการด้านข้าราชการ เพื่อยกระดับในการดูแลประชาชนให้เข้าถึงการบริการสาธารณสุขเบื้องต้นมากที่สุด ซึ่งเดิมจากที่คุยว่ากรณีป่วยฉุกเฉินยังมีความเหลื่อมล้ำ และความต่าง ซึ่งบางครั้งผู้ป่วยฉุกเฉินต้องได้รับการรักษา ถ้าไม่ได้รับอาจเสียชีวิตได้ ก็เป็นที่มาว่าผู้ป่วยฉุกเฉิน ไม่ว่าเพศไหน กรณีไหนถ้าป่วยฉุกเฉินต้องได้รับการรักษาทันที ไม่ต้องถามสิทธิ์ ที่สำคัญเข้าโรงพยาบาลไหนก็ได้ ก็ต้องขอขอบคุณโรงพยาบาลเอกชนด้วยที่ให้ความร่วมมือรัฐบาล เป็นการช่วยดูแลประชาชน คนป่วยก็ไปรักษาโรงพยาบาลใกล้บ้านได้เลยเพื่อได้รับการรักษาทันที ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 เมษายนนี้
สำหรับกองทุนประกันภัยที่ตั้งขึ้นมาภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลทำงานร่วมกับสมาคมประกันภัยทุกประเภท เป็นความจำเป็นในการสร้างความเชื่อมั่น เพราะที่ผ่านมาหลังน้ำท่วม ได้รับการบ่นจากผู้ประกอบการหรือประชาชนว่า หาบริษัทที่รับประกันภัยยาก เราก็เลยออกมาทำงานโดยตั้งกองทุนประกันภัยขึ้นมาในวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทเพื่อรับประกันภัย เพื่อช่วยกันพยุงในภาคของอุตสาหกรรม เพราะที่ผ่านมาประกันภัยก็ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากน้ำท่วม เราก็จะใช้มาตรการนี้โดยประชาชนทุกคนก็จะใช้ระบบประกันของกองทุนนี้ โดยทุกอย่างเป็นไปด้วยราคาเป็นธรรม ราคาปกติ ถือว่าเป็นการสร้างความมั่นใจกับทุกภาคส่วน และเสริมระบบประกันภัยให้เดินหน้าต่อไป ครั้งนี้เราก็รวมประกันภัยพิบัติธรรมชาติด้วย เพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น และเบี้ยประกันภัยก็ลดลงแล้ว ก็ถือว่าเป็นทิศทางที่ดี
ในส่วนของระบบประกันภัยเราจะรับประกันในลักษณะ 30% ของวงเงินของมูลค่าทรัพย์สิน แต่ถ้าจะเพิ่มขึ้นก็มี 2 ทางเลือก คือ 1. ใช้ระบบประกันปกติที่บริษัทประกันภัยรับอยู่แล้ว และ 2. ในอนาคตรัฐบาลก็จะรับพิจารณาดูต่อไปว่าจะทำอย่างไรเพื่อขยายตรงนี้มากขึ้น