บอร์ดบิ๊กซีอนุมัติแผนยาว 5 ปี ผุดเครือข่ายทุกโมเดลเพื่อให้ครบเป็น 950 สาขา รอประชุมผู้ถือหุ้น 30 เมษายนนี้ออกหุ้นเพิ่มทุน 23.6 ล้านหุ้นมูลค่า 4,000 ล้านบาทพร้อมงบเดิม 1,500 ล้านบาทลุยปีนี้
นายกุฎาธาร นาควิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารห้างค้าปลีกบิ๊กซี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติแผนการลงทุนระยะยาวของ บิ๊กซี ช่วง 5 ปี (ปี 55-59) วางเป้าหมาย สาขาในไทยรวม 950 สาขาในทุกรูปแบบและก้าวขึ้น เป็นผู้นำห้างค้าปลีกของไทยให้ได้ จากปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการรวม 238 สาขา
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 5,500 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาและปรับปรุงองค์กร ซึ่งแบ่งเป็นงบที่มาจาก งบลงทุนเดิมของปีที่แล้ว 1,500 ล้านบาทที่ชะลอแผน ขยายสาขาเพราะปัญหาน้ำท่วม และมาจากการออก หุ้นเพิ่มทุนจำนวน 23.6 ล้านหุ้น ขายให้แก่ผู้หุ้นเฉพาะเจาะจง (พีพี) คาดว่าจะได้รับเงินลงทุนจากกการระดมทุนครั้งนี้ 4,000 ล้านบาท
“บริษัทฯจะรออนุมัติการขายหุ้นแบบพีพีครั้งนี้ จากที่ ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ซึ่งหลังจากการ เพิ่มทุนเสร็จแล้วมั่นใจจะว่าไม่กระทบต่อสัดส่วนโครงการสร้างผู้ถือหุ้นเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะจำนวนหุ้นที่นำออก ขายครั้งนี้ มีสัดส่วนเพียงแค่ 2.9% เมื่อเทียบกับ จำนวนหุ้นทั้งหมด และจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาวด้วยเพราะทำให้ขยายสาขาได้มากขึ้น และช่วยให้ขยายธุรกิจได้เพิ่มขึ้น”
ส่วนแผนขยายสาขาปีนี้เตรียมเปิดสาขาใหม่ 85 สาขา แบ่งเป็น สาขาขนาดใหญ่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต) 4 สาขา, บิ๊กซี มาร์เก็ต 6 สาขา และมินิ บิ๊กซี 75 สาขา ซึ่งรวมกับจำนวนสาขาที่จะเปิดในสถานี บริการน้ำมันบางจากแล้วด้วย
ล่าสุดบิ๊กซี ร่วมมือกับ มูลนิธิชัยพัฒนาจัดทำ โครงการ “ข้าวสร้างสุข” เพื่อรับซื้อข้าวจากเกษตรกรผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ โดยนำมาขัดและบรรจุถุงจำหน่ายในบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ โดยบิ๊กซี เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ในการดำเนินโครงการส่วนรายได้จากการจำหน่ายข้าวสร้างสุขนี้จะมอบ ให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อนำไปซื้อข้าวรอบใหม่
โดยเริ่มทำโครงการใน จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.พิษณุโลก แล้ว กำหนดราคาที่รับซื้อข้าวจากเกษตรกร คือราคาข้าวหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท โดยจะรับซื้อในราคาไม่ต่ำกว่าราคาตลาดและนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ มีต้นทุนการผลิต ต่อไร่ลดลงเหลือไร่ละ2,000 บาท จากเดิมมีต้นทุนไร่ละ 5,000 บาท เพราะไม่ต้องใช้สารเคมี ประกอบกับยังมีผล ผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้นด้วย และมีแผนขยายการร่วมมือกับ เกษตรชาวนาไปในจังหวัดอื่นๆ ที่มีสาขาของบิ๊กซีด้วย โดยเริ่มจำหน่ายข้าวสร้างสุขแล้วที่บิ๊กซี 6 สาขาคือ บิ๊กซีราชดำริ, รัตนาธิเบศร์, ติวานนท์, บิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า รัตนาธิเบศร์, แจ้งวัฒนะ และวงเวียนใหญ่
นายกุฎาธาร นาควิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารห้างค้าปลีกบิ๊กซี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติแผนการลงทุนระยะยาวของ บิ๊กซี ช่วง 5 ปี (ปี 55-59) วางเป้าหมาย สาขาในไทยรวม 950 สาขาในทุกรูปแบบและก้าวขึ้น เป็นผู้นำห้างค้าปลีกของไทยให้ได้ จากปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการรวม 238 สาขา
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 5,500 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาและปรับปรุงองค์กร ซึ่งแบ่งเป็นงบที่มาจาก งบลงทุนเดิมของปีที่แล้ว 1,500 ล้านบาทที่ชะลอแผน ขยายสาขาเพราะปัญหาน้ำท่วม และมาจากการออก หุ้นเพิ่มทุนจำนวน 23.6 ล้านหุ้น ขายให้แก่ผู้หุ้นเฉพาะเจาะจง (พีพี) คาดว่าจะได้รับเงินลงทุนจากกการระดมทุนครั้งนี้ 4,000 ล้านบาท
“บริษัทฯจะรออนุมัติการขายหุ้นแบบพีพีครั้งนี้ จากที่ ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ซึ่งหลังจากการ เพิ่มทุนเสร็จแล้วมั่นใจจะว่าไม่กระทบต่อสัดส่วนโครงการสร้างผู้ถือหุ้นเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะจำนวนหุ้นที่นำออก ขายครั้งนี้ มีสัดส่วนเพียงแค่ 2.9% เมื่อเทียบกับ จำนวนหุ้นทั้งหมด และจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาวด้วยเพราะทำให้ขยายสาขาได้มากขึ้น และช่วยให้ขยายธุรกิจได้เพิ่มขึ้น”
ส่วนแผนขยายสาขาปีนี้เตรียมเปิดสาขาใหม่ 85 สาขา แบ่งเป็น สาขาขนาดใหญ่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต) 4 สาขา, บิ๊กซี มาร์เก็ต 6 สาขา และมินิ บิ๊กซี 75 สาขา ซึ่งรวมกับจำนวนสาขาที่จะเปิดในสถานี บริการน้ำมันบางจากแล้วด้วย
ล่าสุดบิ๊กซี ร่วมมือกับ มูลนิธิชัยพัฒนาจัดทำ โครงการ “ข้าวสร้างสุข” เพื่อรับซื้อข้าวจากเกษตรกรผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ โดยนำมาขัดและบรรจุถุงจำหน่ายในบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ โดยบิ๊กซี เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ในการดำเนินโครงการส่วนรายได้จากการจำหน่ายข้าวสร้างสุขนี้จะมอบ ให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อนำไปซื้อข้าวรอบใหม่
โดยเริ่มทำโครงการใน จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.พิษณุโลก แล้ว กำหนดราคาที่รับซื้อข้าวจากเกษตรกร คือราคาข้าวหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท โดยจะรับซื้อในราคาไม่ต่ำกว่าราคาตลาดและนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ มีต้นทุนการผลิต ต่อไร่ลดลงเหลือไร่ละ2,000 บาท จากเดิมมีต้นทุนไร่ละ 5,000 บาท เพราะไม่ต้องใช้สารเคมี ประกอบกับยังมีผล ผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้นด้วย และมีแผนขยายการร่วมมือกับ เกษตรชาวนาไปในจังหวัดอื่นๆ ที่มีสาขาของบิ๊กซีด้วย โดยเริ่มจำหน่ายข้าวสร้างสุขแล้วที่บิ๊กซี 6 สาขาคือ บิ๊กซีราชดำริ, รัตนาธิเบศร์, ติวานนท์, บิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า รัตนาธิเบศร์, แจ้งวัฒนะ และวงเวียนใหญ่