xs
xsm
sm
md
lg

“ปิดสวิตช์ เปิดยิ้ม” : ญี่ปุ่นประหยัดไฟฟ้าหลังฟูกูชิมะ

เผยแพร่:   โดย: ประสาท มีแต้ม

“นักกิจกรรมญี่ปุ่นบอกผมว่า ขณะนี้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่นทำงานอยู่เพียง 1 โรงเท่านั้น จากทั้งหมด 54 โรง”

คำพูดข้างต้นนี้เป็นของบรรณาธิการ “จับตานิวเคลียร์” ซึ่งเป็นเอกสารรายสะดวกที่มีคุณภาพ เขาเล่าให้ผมฟังเพียงสั้นๆ ในโอกาสที่คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากรเชิญมาเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญกรณีชาวบ้านร้องเรียนเรื่องการทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (พีดีพี 2010)

“เขาทำได้อย่างไร” ผมถาม “ไฟฟ้าทั้งหมดของญี่ปุ่นมาจากนิวเคลียร์ 30% เขาทำได้โดยการประหยัดครับ แต่ผมก็ไม่ทราบรายละเอียดมากกว่านี้” เขาตอบก่อนจะแยกย้ายจากกันด้วยธุระจำเป็น

ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญและกำลังเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันของบ้านเราครับ เพราะเป็นช่วงฤดูร้อนที่จะเกิดช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในแต่ละปี (เรียกว่า peak) ซึ่งในแต่ละปีจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ที่ว่าสำคัญก็เพราะทางกระทรวงพลังงานจะนำเอากำลังผลิตไฟฟ้าที่สูงที่สุดในช่วงนี้ไปเป็นฐานในการคาดการณ์การใช้ไฟฟ้าในอนาคต ถ้าค่าตัวนี้สูงจะทำให้เป็นข้ออ้างในการสร้างโรงไฟฟ้าเยอะๆ กำลังผลิตสำรองก็เยอะตามไปด้วย ถ้าเราช่วยกันลด peak ลงได้ การสร้างโรงไฟฟ้าก็น้อยลง ค่าไฟฟ้าก็จะถูกลงด้วย

ด้วยคำบอกเล่าอย่างย่อๆ แต่มีความสำคัญมากของบรรณาธิการมาดสุขุม ผมจึงต้องลงมือค้นคว้าและนำมาเล่าสู่ท่านทั้งหลาย โดยเริ่มจากภาพประกอบข้างล่างครับ

ซ้ายมือเป็นโปสเตอร์น่ารักๆ ข้อความข้างล่างเขียนว่า “ทุกคนประหยัดไฟฟ้า” แต่ที่กินใจผมมากๆ ก็คือข้อความที่เขียนว่า “ปิดสวิตช์ เปิดยิ้ม” นั่นแปลว่าเข้าร่วมประหยัดไฟฟ้าด้วยความเต็มใจ เข้าใจเป้าหมายและมีความสุข มีความภูมิใจ ส่วนภาพขวามืออาจจะดูไม่ชัด เพราะเขาเปิดไฟเฉพาะที่โต๊ะทำงานเท่านั้น ไม่ใช่เปิดสว่างจ้าไปทั้งห้อง

พูดมาถึงตรงนี้ ผมเองก็แอบภูมิใจมากที่หลายห้องของอาคารภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่ผมเคยทำงาน ได้ใช้แนวคิดนี้มา 3 ปีแล้ว โดยใช้สวิตช์กระตุกเฉพาะบริเวณที่จะใช้แสงสว่างจริงๆ (หวังว่ายังคงอยู่ตลอดไปนะครับ)

หลังเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด (มี.ค. 54) รัฐบาลได้ใช้แผนรณรงค์ประหยัดพลังงานที่เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “Setsuden” (แปลว่าประหยัดพลังงาน จากบทความของ Suvendrini Kakuchi ใน Guardian Environment Network) ปรากฏว่าในเดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นหน้าร้อนสามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ 9% ของปีก่อน (ประชากรญี่ปุ่นมีประมาณสองเท่าของไทย แต่ใช้ไฟฟ้าประมาณ 6.2 เท่า, แสดงว่าโดยเฉลี่ยคนญี่ปุ่นใช้ไฟฟ้าเป็น 3 เท่าของคนไทย แต่รายได้ต่อหัวประมาณ 8.8 เท่าของไทย ฮาไม่ออก!)

แผนการรณรงค์ครั้งนี้ถือว่าเป็น “การเคลื่อนไหวระดับชาติ” ซึ่งเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2554 ในตอนแรกรัฐบาลต้องการจะลด peak ให้ได้ 15% แต่ปรากฏว่าสามารถลดจริงได้ถึง 20% โดยใช้มาตรการที่หลากหลาย เช่น ปิดไฟ เพิ่มอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเป็น 28 องศาเซลเซียส ทำความสะอาดอุปกรณ์ ฯลฯ โดยได้รับความร่วมมือจากสาธารณะ สื่อ บริษัท ฯลฯ (เรื่องลด peak นี้เมืองไทยไม่เคยทำครับ-ย้ำ)

นักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ว่า “การประหยัดพลังงานในขณะนี้ก็คล้ายกับสมัยหลังสงครามโลกครั้งสองที่ชาวญี่ปุ่นต้องทำงานหนักเพื่อสร้างประเทศขึ้นมาใหม่”

ที่เกี่ยวกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ผลการสำรวจความคิดเห็นของชาวญี่ปุ่นพบว่าร้อยละ 74 ต้องการให้ญี่ปุ่นค่อยๆ เลิกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมด ในขณะที่ร้อยละ 11 ต้องการให้หยุดในทันทีและร้อยละ 13 เห็นว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนนโยบาย

ผมขอจบบทความนี้ด้วยความเห็นของอีกท่านหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้)ว่า “ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากที่เรากำลังเผชิญในวันนี้ได้เปิดโอกาสให้กับเรา เราจึงต้องไม่พลาดโอกาสนี้ หลังจากหายนภัย ประเทศญี่ปุ่นจะต้องเปลี่ยนแปลงและเราสามารถทำได้โดยวิธีการในระยะยาวเท่านั้นเพื่อจะทำให้ชาวญี่ปุ่นมีความปลอดภัยมากขึ้น”

แล้วรัฐบาลญี่ปุ่นก็ประกาศจะใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 3 หมื่นเมกะวัตต์ในปี 2020 สาธุ!
กำลังโหลดความคิดเห็น