นายพากร วังศิลาบัตร ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่จ.อยุธยาเริ่มมีการปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบกับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันที่ล่าสุดนำร่อง 7 จังหวัดและจะมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ 1 ม.ค. 56 โดยการมองหาเครื่องจักรมาทดแทนแรงงานและการเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานที่มีอยู่เดิมเพื่อลดต้นทุนการผลิตโดยรวม
แนวโน้มภาคธุรกิจอุตสาหกรรมจะรัดเข็มขัดโดยการไม่รับแรงงานเพิ่ม แม้แต่โรงงานที่ลงทุนใหม่ก็จะเน้นเครื่องจักรมากขึ้นการจ้างแรงงานคนก็จะลดอัตราลงไปจากปกติ
“ ตอนนี้ค่าแรงขึ้น 300 บาทต่อวันนำร่อง 7 จังหวัดประกอบด้วยกทม. สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และภูเก็ตแต่ 1 ม.ค. 56 ก็จะมีผลทั่วประเทศทำให้โรงงานส่วนใหญ่ต้องเร่งปรับตัวเพราะค่าจ้างเป็นต้นทุนส่วนหนึ่งแต่วัตถุดิบ ค่าขนส่ง เวลานี้ขึ้นหมดทำให้ธุรกิจต้องดิ้นลดต้นทุนมากขึ้น ”นายพากรกล่าว
ทั้งนี้ สิ่งที่กังวลคือธุรกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)ที่จะได้รับผลกระทบหนักจากภาระต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นทุกด้านแต่ไม่สามารถปรับราคาสินค้าขึ้นได้ทั้งในแง่เอสเอ็มอีที่ขายผลิตภัณฑ์โดยตรงที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้วในตลาดและแรงงานในประเทศยังไม่ดีนัก และเอสเอ็มอีที่รับจ้างการผลิตหรือ ซับคอนแทรกเองก็ไม่มีอำนาจต่อรองไปขอปรับราคาสินค้ากับผู้ผลิตรายใหญ่ ดังนั้นสิ่งที่จะตามมาคือธุรกิจเหล่านี้อาจหันไปพึ่งแรงงานต่างด้าวมากขึ้นเนื่องจากแรงงานเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีสวัสดิการมากเมื่อเทียบกับแรงงานไทย
สำหรับเอสเอ็มอีทั่วประเทศมีราว 2.3 ล้านรายคิดเป็น 97% ของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในไทยและในพื้นที่จ.อยุธยามีโรงงานภาคการผลิตที่เป็นเอสเอ็มอีอย่างต่ำประมาณ 1,800 แห่ง
แนวโน้มภาคธุรกิจอุตสาหกรรมจะรัดเข็มขัดโดยการไม่รับแรงงานเพิ่ม แม้แต่โรงงานที่ลงทุนใหม่ก็จะเน้นเครื่องจักรมากขึ้นการจ้างแรงงานคนก็จะลดอัตราลงไปจากปกติ
“ ตอนนี้ค่าแรงขึ้น 300 บาทต่อวันนำร่อง 7 จังหวัดประกอบด้วยกทม. สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และภูเก็ตแต่ 1 ม.ค. 56 ก็จะมีผลทั่วประเทศทำให้โรงงานส่วนใหญ่ต้องเร่งปรับตัวเพราะค่าจ้างเป็นต้นทุนส่วนหนึ่งแต่วัตถุดิบ ค่าขนส่ง เวลานี้ขึ้นหมดทำให้ธุรกิจต้องดิ้นลดต้นทุนมากขึ้น ”นายพากรกล่าว
ทั้งนี้ สิ่งที่กังวลคือธุรกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)ที่จะได้รับผลกระทบหนักจากภาระต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นทุกด้านแต่ไม่สามารถปรับราคาสินค้าขึ้นได้ทั้งในแง่เอสเอ็มอีที่ขายผลิตภัณฑ์โดยตรงที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้วในตลาดและแรงงานในประเทศยังไม่ดีนัก และเอสเอ็มอีที่รับจ้างการผลิตหรือ ซับคอนแทรกเองก็ไม่มีอำนาจต่อรองไปขอปรับราคาสินค้ากับผู้ผลิตรายใหญ่ ดังนั้นสิ่งที่จะตามมาคือธุรกิจเหล่านี้อาจหันไปพึ่งแรงงานต่างด้าวมากขึ้นเนื่องจากแรงงานเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีสวัสดิการมากเมื่อเทียบกับแรงงานไทย
สำหรับเอสเอ็มอีทั่วประเทศมีราว 2.3 ล้านรายคิดเป็น 97% ของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในไทยและในพื้นที่จ.อยุธยามีโรงงานภาคการผลิตที่เป็นเอสเอ็มอีอย่างต่ำประมาณ 1,800 แห่ง