ประธาน บสย.ห่วงเอสเอ็มอีในพื้นที่ต่างจังหวัดห่างไกลไม่สามารถปรับตัวรับค่าแรง 300 บาท ชี้ศักยภาพด้อยและหมดข้อได้เปรียบต้นทุนแรงงานต่ำ วอนรัฐบาลอย่าลืมให้ความสำคัญภาคธุรกิจควบคู่คนงาน
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า จากนโยบายขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทต่อวัน กลุ่มผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเอสเอ็มอีที่อยู่ตามต่างจังหวัดในพื้นที่ไกลๆ ซึ่งปีหน้า (2556) จะต้องปรับค่าแรงขึ้นเช่นกัน ถือเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุด เนื่องจากผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวที่ผ่านมาจะมีข้อได้เปรียบประการสำคัญที่ต้นทุนค่าแรงค่อนข้างต่ำ เพราะแรงงานส่วนใหญ่จะเป็นคนในท้องถิ่น แต่เมื่อค่าแรงปรับขึ้นจะทำให้ไม่มีข้อได้เปรียบดังกล่าวอีกต่อไป
นอกจากนี้ เอสเอ็มอีกลุ่มดังกล่าวยังเสียเปรียบเรื่องทำเลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างไกล ทำให้มีต้นทุนค่าขนส่งสินค้าและเดินทางสูงกว่าธุรกิจที่อยู่ในเมือง อีกทั้งผู้ประกอบการกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักจะผลิตสินค้าหรือบริการที่กำไรค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว ยากจะเพิ่มมูลค่าหรือขึ้นราคาสินค้าผลักภาระไปสู่ผู้บริโภคได้ เมื่อรวมเข้ากับต้นทุนแรงงานที่จะเพิ่มขึ้น จึงน่าห่วงอย่างยิ่งว่าเอสเอ็มอีกลุ่มนี้จะไม่สามารถแข่งขันและอยู่รอดต่อไปได้
นายสันติระบุด้วยว่า สำหรับผู้ประกอบการขณะนี้ต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะการหาทางลดต้นทุน และที่สำคัญ คือ ต้องพยายามพูดคุยทำความเข้าใจกับแรงงานของตนเองเพื่อจะช่วยกันประคับประคองให้กิจการยังคงเดินหน้าไปได้ ขณะที่ในส่วนของรัฐบาล อยากให้การออกนโยบายค่าแรงปรับเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป และต้องคำนึงทั้งในมุมของผู้ประกอบการ และผู้ใช้แรงงานเพื่อให้เกิดความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย หากรัฐบาลจะคิดถึงแต่ในมุมช่วยคนงาน ในอนาคตเป็นเรื่องยากที่นโยบายต่างๆ ของภาครัฐจะได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจ
