ลุ้นต่างชาติซื้อสะสมแตะแสนล้าน โบรกฯประเมินต้องใช้QE3เข้าช่วย ภาพรวมเม็ดเงินยังไหลเข้า เหตุP/Eหุ้นไทยยังดีกว่าหลายประเทศเพื่อนบ้าน คาดกำไรสุทธิบจ.ปีนี้ขึ้นขึ้นอีก15% แตะ 5.6แสนล้าน
ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ไทยในช่วงที่ผ่าน แม้ปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,200 จุดได้ แต่ก็ยังมีความผันผวนสูง จนทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นหรือลดลงแรง อย่างไรก็ตามพบว่าแม้ดัชนีหลักทรัพย์จะปรับตัวลง แต่การซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างประเทศยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุด ณ วันที่ 5เม.ย. นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิสะสมในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่1มกราคม แล้ว 85,449.69 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาซึ่งมีการปรับตัวสูงขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งมีการซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องและก็มีความผันผวนจากสถานการณ์ในต่างประเทศที่ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวในแดนลบ โดยสาเหตุที่นักลงทุนต่างประเทศยังเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย ส่วนหนึ่งมาจากเม็ดเงินในระบบ ที่มาจากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจตามมาตรการอัดฉีดของสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านอย่างQE1 และ QE2 รวมถึงเม็ดเงินจากความช่วยเหลือของธนาคารกลางยุโรปต่อประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่ประสบปัญหา ซึ่งคาดว่าจะยังมีอยู่สูงถึงประมาณ 700 – 800 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 20,000 กว่าล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากคาดหวังว่าการซื้อสะสมสุทธิของนักลงทุนต่างชาติรอบนี้จะสูงถึงประมาณ 100,000 ล้านบาท อย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตซัพไพร์มที่ผ่านมา ส่วนตัวมองว่าคงไม่มากเท่ากับช่วงที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าภาวะตลาด และราคาหุ้นในปัจจุบันยังสร้างผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนได้ในระดับที่สูง
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่อย่างQE3 ประเมินว่าจะยังคงไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนมาจากธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ถ้ามาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นจริงก็เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจได้เห็นยอดซื้อสะสมสุทธิของนักลงทุนต่างชาติแตะ 100,000 ล้านบาทได้เช่นกัน
ขณะเดียวกันประเมินว่ากระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างประเทศในช่วงนี้ที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเม็ดเงินที่ไหลมาจากตลาดหุ้นอื่นๆที่ใกล้เคียง นั่นคือ ตลาดหุ้นในฟิลลิปปินส์ อินโดนีเซีย เพราะหากเปรียบเทียบค่า P/E แล้ว ต้องยอมรับว่าตลาดหลักทรัพย์ยังต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน เนื่องจากอยู่ในระดับเพียง 12 เท่า ขณะที่ตลาดอื่นอยู่ประมาณ 13-14 เท่า จึงทำให้เม็ดเงินส่วนหนึ่งไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย อีกทั้งราคาหุ้นในหลายบริษัทยังมีราคาที่ต่ำ
สำหรับความกังวลว่าแม้บริษัทจดทะเบียนไทยจะมีกำไรจากการดำเนินงานสูงขึ้น แต่อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(ROE) จะปรับตัวลดลงตามที่ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์นำเสนอ และอัตราตัวเลขหนี้สินต่อทุนของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นนั้น จากการสำรวจมองว่า ในปี2555 กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก15%จาก 490,000 ล้านบาท เป็น 560,000 ล้านบาทได้ เนื่องจากบริษัทอยู่ในช่วงการฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นหลังเกิดภัยน้ำท่วมเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับความใส่ใจของบริษัทจดทะเบียนที่ให้ความสำคัญต่อการควบคุมอัตราหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับต่ำ ส่วน ROE ในปีนี้ บล.กรุงศรีอยุธยายังเชื่อว่าจะปรับตัวขึ้นเป็น 16.5% จาก 16.3% ในปีก่อนขณะผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ตามนโยบายรัฐบาล ประเมินว่าผลกระทบดังกล่าวได้ถูกบจ.คำนวณในด้านต้นทุนไว้แล้ว ดังนั้นด้วยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ส่วนมากเป็นบริษัทขนาดใหญ่ จึงทำให้เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้มากเท่าใด
ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ไทยในช่วงที่ผ่าน แม้ปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,200 จุดได้ แต่ก็ยังมีความผันผวนสูง จนทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นหรือลดลงแรง อย่างไรก็ตามพบว่าแม้ดัชนีหลักทรัพย์จะปรับตัวลง แต่การซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างประเทศยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุด ณ วันที่ 5เม.ย. นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิสะสมในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่1มกราคม แล้ว 85,449.69 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาซึ่งมีการปรับตัวสูงขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งมีการซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องและก็มีความผันผวนจากสถานการณ์ในต่างประเทศที่ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวในแดนลบ โดยสาเหตุที่นักลงทุนต่างประเทศยังเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย ส่วนหนึ่งมาจากเม็ดเงินในระบบ ที่มาจากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจตามมาตรการอัดฉีดของสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านอย่างQE1 และ QE2 รวมถึงเม็ดเงินจากความช่วยเหลือของธนาคารกลางยุโรปต่อประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่ประสบปัญหา ซึ่งคาดว่าจะยังมีอยู่สูงถึงประมาณ 700 – 800 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 20,000 กว่าล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากคาดหวังว่าการซื้อสะสมสุทธิของนักลงทุนต่างชาติรอบนี้จะสูงถึงประมาณ 100,000 ล้านบาท อย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตซัพไพร์มที่ผ่านมา ส่วนตัวมองว่าคงไม่มากเท่ากับช่วงที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าภาวะตลาด และราคาหุ้นในปัจจุบันยังสร้างผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนได้ในระดับที่สูง
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่อย่างQE3 ประเมินว่าจะยังคงไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนมาจากธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ถ้ามาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นจริงก็เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจได้เห็นยอดซื้อสะสมสุทธิของนักลงทุนต่างชาติแตะ 100,000 ล้านบาทได้เช่นกัน
ขณะเดียวกันประเมินว่ากระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างประเทศในช่วงนี้ที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเม็ดเงินที่ไหลมาจากตลาดหุ้นอื่นๆที่ใกล้เคียง นั่นคือ ตลาดหุ้นในฟิลลิปปินส์ อินโดนีเซีย เพราะหากเปรียบเทียบค่า P/E แล้ว ต้องยอมรับว่าตลาดหลักทรัพย์ยังต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน เนื่องจากอยู่ในระดับเพียง 12 เท่า ขณะที่ตลาดอื่นอยู่ประมาณ 13-14 เท่า จึงทำให้เม็ดเงินส่วนหนึ่งไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย อีกทั้งราคาหุ้นในหลายบริษัทยังมีราคาที่ต่ำ
สำหรับความกังวลว่าแม้บริษัทจดทะเบียนไทยจะมีกำไรจากการดำเนินงานสูงขึ้น แต่อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(ROE) จะปรับตัวลดลงตามที่ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์นำเสนอ และอัตราตัวเลขหนี้สินต่อทุนของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นนั้น จากการสำรวจมองว่า ในปี2555 กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก15%จาก 490,000 ล้านบาท เป็น 560,000 ล้านบาทได้ เนื่องจากบริษัทอยู่ในช่วงการฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นหลังเกิดภัยน้ำท่วมเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับความใส่ใจของบริษัทจดทะเบียนที่ให้ความสำคัญต่อการควบคุมอัตราหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับต่ำ ส่วน ROE ในปีนี้ บล.กรุงศรีอยุธยายังเชื่อว่าจะปรับตัวขึ้นเป็น 16.5% จาก 16.3% ในปีก่อนขณะผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ตามนโยบายรัฐบาล ประเมินว่าผลกระทบดังกล่าวได้ถูกบจ.คำนวณในด้านต้นทุนไว้แล้ว ดังนั้นด้วยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ส่วนมากเป็นบริษัทขนาดใหญ่ จึงทำให้เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้มากเท่าใด