ศาลล้มละลายกลาง สั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด " ท่าเรือระยอง "ของปุ๋ยเอ็ยเอฟซี คาดมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ด้านบริษัทรุดยื่นอุทธรณ์ศาลฏีกาพิจารณา ภาพรวมปี54 ขาดทุนลดลงเหลือ 189 ล้าน จากราคาขายผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่ม แต่ผู้สอบบัญชีไม่ขอแสดงความคิดเห็น
นางบงกช รัศมีไพศาล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบริหาร บมจ.ปุ๋ยเอ็นเอฟซี หรือ NFC แจ้งผลงานงวดสิ้นปี 54 ว่ามีผลขาดทุนสุทธิ 188.57 ล้านบาท ลดลง 47.14 ล้านบาท หรือ 19.99% จากงวดเดียวกันของปี 53 ที่ขาดทุน 235.71 ล้านบาท โดยงวดนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการดำเนินงาน 673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175 ล้านบาท หรือ 35% จากปี 53 เป็นผลจากราคาขายผลิตภัฑ์ที่ปรับขึ้นตามราคาตลาดโลกและปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นทุกผลิตภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม งบการเงินของบริษัท ไม่มีการแสดงความคิดเห็นของผู้สอบบัญชี เนื่องจากความไม่แน่นอนในการดำเนินงานต่อเนื่องของบริษัทและบริษัทย่อย จากเหตุการณ์ที่มีสาระสำคัญอย่างมากต่องบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัท คือ บริษัทขาดทุนสะสมเกินทุนและอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ
ล่าสุด ศาลล้มละลายกลางมีคำสัง พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท ท่าเรือระยอง จำกัด (บริษัทย่อย) ในฐานะผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ของบริษัทซึ่ง ต้องรับผิดชอบภาระหนี้ในส่วนที่ผู้ถือหุ้นกู้ไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนจากแผนฟื้นฟูกิจการ โดยบริษัทย่อยได้ยืน อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งไปยังศาลฎีกาแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล อย่างไรก็ตาม คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดนั้น มีผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อยและอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทด้วย เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนเงินลงทุนในบริษัทย่อยร้อยละ 83.25 เป็นจำนวนเงิน 636 ล้านบาทซึ่ง เป็นสาระสำคัญต่องบการเงินของบริษัท
โดยคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ผู้ถือหุ้นกู้รายหนึ่งได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
“ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาประนอมหนี้ และปรับโครงสร้างหนี้กับบริษัทและบริษัทย่อย อีกทั้งบริษัทย่อยมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ทั้งหมดและไม่ได้ตกเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ดังนั้น บริษัทย่อยจึงได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าว”
นางบงกช รัศมีไพศาล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบริหาร บมจ.ปุ๋ยเอ็นเอฟซี หรือ NFC แจ้งผลงานงวดสิ้นปี 54 ว่ามีผลขาดทุนสุทธิ 188.57 ล้านบาท ลดลง 47.14 ล้านบาท หรือ 19.99% จากงวดเดียวกันของปี 53 ที่ขาดทุน 235.71 ล้านบาท โดยงวดนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการดำเนินงาน 673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175 ล้านบาท หรือ 35% จากปี 53 เป็นผลจากราคาขายผลิตภัฑ์ที่ปรับขึ้นตามราคาตลาดโลกและปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นทุกผลิตภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม งบการเงินของบริษัท ไม่มีการแสดงความคิดเห็นของผู้สอบบัญชี เนื่องจากความไม่แน่นอนในการดำเนินงานต่อเนื่องของบริษัทและบริษัทย่อย จากเหตุการณ์ที่มีสาระสำคัญอย่างมากต่องบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัท คือ บริษัทขาดทุนสะสมเกินทุนและอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ
ล่าสุด ศาลล้มละลายกลางมีคำสัง พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท ท่าเรือระยอง จำกัด (บริษัทย่อย) ในฐานะผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ของบริษัทซึ่ง ต้องรับผิดชอบภาระหนี้ในส่วนที่ผู้ถือหุ้นกู้ไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนจากแผนฟื้นฟูกิจการ โดยบริษัทย่อยได้ยืน อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งไปยังศาลฎีกาแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล อย่างไรก็ตาม คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดนั้น มีผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อยและอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทด้วย เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนเงินลงทุนในบริษัทย่อยร้อยละ 83.25 เป็นจำนวนเงิน 636 ล้านบาทซึ่ง เป็นสาระสำคัญต่องบการเงินของบริษัท
โดยคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ผู้ถือหุ้นกู้รายหนึ่งได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
“ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาประนอมหนี้ และปรับโครงสร้างหนี้กับบริษัทและบริษัทย่อย อีกทั้งบริษัทย่อยมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ทั้งหมดและไม่ได้ตกเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ดังนั้น บริษัทย่อยจึงได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าว”
