ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ไม่ว่าจะผ่านกี่ยุคกี่สมัย โผการโยกย้ายบิ๊กทหารในแต่ละครั้งก็ยังคงวนเวียนอยู่กับคำว่า “เพื่อน รุ่น และญาติพี่น้อง” อย่างไม่เสื่อมคลาย เพราะฉะนั้นจงอย่าแปลกใจที่เห็นรายชื่อบัญชีโยกย้ายนายทหารกลางปี 2555 จากมือของ “บิ๊กโอ๋-พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนรัก ตท.12 ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่ส่งถึงมือของ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะยังคงเป็นนิยายเรื่องเดิมๆ เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
แต่สิ่งที่น่าผิดสังเกตก็คือ ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์กันเอาไว้ว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินภายหลังจากเด้ง “บิ๊กอ๊อด-พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” พ้นเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและส่งพล.อ.อ.สุกำพลเข้ามาบัญชาการให้เป็นไปตามคำสั่งของนายห้างตราดูไบ ซึ่งนั่นทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ถ้าบิ๊กโอ๋ไม่กล้าล้วงลูกและเข้าไปแทรกแซงการจัดโผ แล้วนายใหญ่จะส่งบิ๊กโอ๋เข้ามาทำพระแสงของ้าวอะไร
ยิ่งในส่วนของกองทัพบกด้วยแล้ว ยิ่งไม่เห็นเค้าลางของการเปลี่ยนแปลงหรือการเตรียมพร้อมเลยแม้แต่น้อย เพราะศูนย์กลางอำนาจในการโยกย้ายยังตกอยู่ในมือของ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก ชนิดที่สามารถก้าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ดังนั้น นี่จึงน่าจะอนุมานโดยเข้าใจได้ว่า เป็นการโยกย้ายที่รัฐบาลดูไบต้องการ “ซื้อใจ” กองทัพ โดยเฉพาะกองทัพบกเอาไว้เพื่อมิได้เสียการใหญ่ที่รออยู่เบื้องหน้า นั่นก็คือการแก้รัฐธรรมนูญและการนิรโทษกรรมที่เวลางวดเข้ามาทุกที
ทั้งนี้ ตำแหน่งสำคัญที่มีการปรับเปลี่ยนก็คือบรรดา “แม่ทัพภาค” เนื่องเพราะเจ้าของตำแหน่งคนปัจจุบันจะต้องเกษียณราชการในเดือนกันยายนนี้ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องขยับให้มากินอัตราพลเอกก่อนโบกมือลากองทัพ ยิ่งนายพลเหล่านั้นบังเอิญมีคำในวงเล็บต่อท้ายว่า “ตท.12” คือเป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่นเดียวกับบิ๊กตู่ด้วยแล้ว ยิ่งต้องตบรางวัลให้หนัก ขณะที่ตำแหน่งอื่นๆ ที่จะมีการย้ายให้มากินอัตราพลเอก ก็เป็นไปด้วยเหตุผลเดียวกันคือเป็น ตท.12
ทั้งนี้ 5 นายพล ตท.12 ที่จะขยับจาก พล.ท.เป็น พล.อ. ในตำหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ประกอบด้วย
หนึ่ง-บิ๊กเยิ้ม พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2(มทภ.2)
สอง-พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 (มทภ.3)
สาม-พล.ท.ดนัย มีชูเวท ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า(ผบ.ร.ร.จปร.)
สี่-พล.ท.นิพนธ์ ปานมงคล เจ้ากรมการทหารช่าง(จก.กช.)
และห้า-พล.ท.ชูเกียรติ เธียรสุนทร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน(ผบ.นรด.)
ขณะที่ผู้ที่เข้าวินตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 ตกเป็นของ พล.ท.ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ (ตท.13) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 3(มทน.3) และดัน พล.ต.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์(ตท.14) รองแม่ทัพภาคที่ 3 ขึ้นเป็นแม่ทัพน้อยที่ 3 แทน
ทั้งนี้ ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ก็คือ ตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 3 เพราะเดิมมีการคาดหมายว่า มีการ “ล็อก” ตำแหน่งนี้เอาไว้ล่วงหน้าให้กับ “พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา” รองแม่ทัพภาคที่ 3 น้องชายของพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อปูพรมแดงให้ พล.ต.ปรีชาขึ้นไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ในปีหน้าแทนงปมปริศนาที่ซุกซ่อนอยู่อย่างมีนัยสำคัญทีเดียวกทหารตามที่ปรากฏเป็นข่าวก็จะเห็นสัจธรรมและความเป็นจริงของการโยกย้ายนายทหารกลางปีคร
เดชะบุญที่บิ๊กตู่ยังพอมียางเหลืออยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นแล้ว คงได้เห็นน้องชายสุดที่รักของ ฯพณฯ ผบ.ทบ.จอมคำรามจนเจ็บคอผงาดขึ้นในตำแหน่ง “แม่ทัพน้อยที่ 3” เป็นแน่แท้
ส่วนเก้าอี้เดิมของบิ๊กเยิ้มย้วยแขมร์ บิ๊กตู่กากบาทเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยจะผลักดันให้ พล.ท.จีระศักดิ์ ชมประสพ(ตท.13) ซึ่งปัจจุบันเป็นแม่ทัพน้อยที่ 2 ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 แทน และให้ พล.ต.วิบูลย์พงศ์ กลั่นเสนาะ(ตท.11) รองแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 2
อย่างไรก็ตาม สำหรับในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 ซึ่งมีความสำคัญที่สุดนั้น ยังไม่มีการขยับในตำแหน่งสำคัญเนื่องจากเกรงจะเกิดปัญหาภายใน โดยก่อหน้านี้มีการปล่อยข่าวกระเส็นกระสายออกมาว่าจะเด้ง “พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา” รองแม่ทัพภาคที่ 1 นายทหารสายวงศ์เทวัญให้ไปนั่งตบยุงเป็นผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เพื่อเปิดทางให้ “พล.ต.วลิต โรจนภักดี” รองแม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในช่วงโยกย้ายปลายปีแทน “พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร” แม่ทัพภาคที่ 1 คนปัจจุบันที่จะถูกดันให้เข้ามาอยู่ในไลน์ “5 เสือ ทบ.” แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับกองทัพภาคที่ 4 ที่ “พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์” ยังคงรักษาเก้าอี้เอาไว้อย่างเหนียวแน่นชนิดที่ไม่มีคู่แข่งมาเบียดทาบรัศมีได้
ทั้งนี้ การที่ พล.อ.อ.สุกำพลยังไม่เข้าไปแทรกแซงโผโยกย้ายในส่วนของกองทัพบกย่อมแสดงให้เห็นว่า นายใหญ่ยังคงพอใจบทบาทของทหารบก และไม่ต้องการแตกหักกับกองทัพบกก่อนถึงเวลาอันควร ซึ่งนั่นคงต้องติดตามกันต่อไปว่า ในช่วงการโยกย้ายใหญ่ปลายปีจะมีคำสั่งพิเศษให้บิ๊กโอ๋ปฏิบัติการหรือไม่
กระนั้นก็ดี สิ่งที่ตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ก็คือตำแหน่งที่อยู่ในสังกัดของกระทรวงกลาโหมและปลัดกระทรวงกลาโหม เมื่อมีการปรับย้ายนายทหารที่ใกล้ชิด ตท.10 ขึ้นมาบางตำแหน่ง เช่น “พ.อ.พฤษภะ สุวรรณทัต(ตท.19)” รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายยุทธศาสตร์ สำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม น้องชาย พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต หัวหน้าฝ่ายเสธ.ประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้อำนวยการวิเทศสัมพันธ์ กระทรวงกลาโหม
หรือกรณีของ พล.อ.สุกำพลที่มีคำสั่งให้กองทัพอากาศเปิดทางให้ “น.อ.สุรจิต สุวรรณทัต(ตท.15)” ซึ่งเป็นน้องชาย ขยับจากตำแหน่ง รอง จก.กร.ทอ.ขึ้นเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ทอ.อัตราพล.ต. และ “พ.อ.กำชัย กำลังพล(ตท.23)” ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน กรมการพลังงานทหาร ลูกน้องเสธ.ไอซ์-พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต เป็น ฝ่ายเสธ.ประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้ ในส่วนของกองทัพอากาศนั้น เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินภายหลังการเกษียณอายุราชการในช่วงปลายเดือนกันยายนของ “พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์” ผู้บัญชาการทหารอากาศคนปัจจุบัน ซึ่งก็จะต้องติดตามกันต่อไปว่า พล.อ.อ.สุกำพลที่มี “ความแค้นสั่งฟ้า” จะวางใครให้มาเป็นแม่ทัพฟ้าคนใหม่ รวมถึงตำแหน่งแห่งหนที่สำคัญๆ เพื่อล้างบางกลุ่มอำนาจเก่าให้สิ้นซาก เช่นเดียวกับตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมที่ “พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์” จะเกษียณอายุราชการในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้
อีกไม่นานนัก...คงได้รู้กัน