สะเก็ดไฟ
ไม่ต้องไปสนใจว่าเจตนาหรือซุ่มซ่าม เพราะที่แน่ๆงานนี้ กวักมือเรียกแขกที่ไม่สบอารมณ์กับการบริหารประเทศภายใต้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ได้อีกเป็นพรวน โดยเฉพาะพี่น้องชาวด้ามขวานที่เดิมก็ไม่ค่อยได้รับการเหลียวแล เป็นพลเมืองชั้นสองชั้นสามของรัฐบาล 15 ล้านเสียง
จึงพร้อมใจกันออกมา “สับ-สวด-ฉะ” แนวคิดของ “ประสพ บุษราคัม” อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับสถานปัจจุบัน (กปพ.) ในสังกัดสำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร พูดง่ายๆคือ “ทีมกฎหมาย” ของ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ประธานสภาผู้แทนราษฎร นั่นเอง ที่โพล่งออกมาส่งร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปัตตานีมหานคร พ.ศ… และร่างแก้ไข พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 (พ.ร.บ.ศอ.บต.) ที่มีเนื้อหาให้มีการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิเศษขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการรวบจังหวัดยะลา นราธิวาส และปัตตานีเข้าด้วยกัน
โดยมีการเสนอให้ “ผู้ว่าการนคร” เป็นคนดูแลเขตปกครองพิเศษนี้นาม “ปัตตานีมหานคร” ไปให้หน่วยงานความมั่นคงพิจารณา
แต่ที่ดูจะหนักหนาสาหัสกว่าคนข้างบน ก็เห็นจะเป็นคนระดับรองนายกรัฐมนตรื ด้านความมั่นคงอย่าง “บิ๊กอ๊อด-พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” ที่ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เร่งไปศึกษายุทธศาสตร์ 3 จังหวัดชายแดนใต้มาเพื่อสานฝันให้พี่น้องชาวชายแดนใต้ดูแลกันเองผ่านระบบการปกครองที่เรียกว่า “เขตปกครองพิเศษ”
เรียกเสียงโห่จากฝั่งตรงข้ามร้องได้เกรียวกราว
เล่นเอาคนในรัฐบาลงงเป็นไก่ตาแตกกับท่าที “บิ๊กอ๊อด” เที่ยวนี้ที่ออกมาเดินเครื่อง ทั้งๆที่ไม่มีสัญญาณหรือคำบัญชาจาก “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่กำลังตะลอนทัวร์แดนซากุระอยู่ หรือแม้แต่ “พี่ชายนายกฯ” ที่มีอำนาจสูงสุดในรัฐบาล ก็ไม่ส่งสัญญาณให้ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวแต่อย่างใด
หรือแม้แต่หมายงานตารางคิวที่ “นารีปู” จะลงพื้นที่ชายแดนใต้ ก็ไม่มีปรากฎวี่แววให้เห็นสักแอะ
จู่ๆออกมาโพล่งพล่างออกมา มันจึงไม่มีอาการไหนให้ฟันธง นอกจาก “ปากพาไป”
ตลกร้ายกว่านั้น อาการทะเล่อทะล่าของเจ้าตัว ยังถูกน้องๆในกองทัพสำแดงเดช ตะแบงเสียงใส่โดยเฉพาะในรายของ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก ที่แสดงจุดยืนเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่าไม่รับลูกนโยบายนี้
พร้อมกับตักเตือนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัฐบาลให้ระมัดระวังเรื่อง “ปาก”
“ขอให้ระมัดระวังในการแก้ปัญหาภาคใต้ ทุกอย่าง ทุกมิติ ทั้งในและต่างประเทศ สากล ใครพูดอะไรต้องรับผิดชอบ จำเอาไว้ ท้ายที่สุดคงเป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องแก้ปัญหา ทำความเข้าใจซึ่งผมขอยืนหยัดในฝ่ายความมั่นคงว่า เรายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เขตการปกครองพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” เสียงคำรามคำโตจาก “บิ๊กตู่” ที่เชื่อว่า “บิ๊กอ๊อด” ได้ยินก็ต้องสะดุ้ง
ขณะที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งเป็นมีฐานเสียงใหญ่อยู่ในพื้นที่ รวมถึงผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ก็ออกมา “กระทุ้ง” ทำนองเดียวกันกันด้วยมาดนิ่มๆของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่บลั๊ฟตัดบททันทีว่า “นอกจากผมจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าวแล้ว ยังเห็นว่าคนในพื้นที่ก็ไม่เห็นด้วย เพราะคนใน 3 จังหวัดใต้ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยชูนโยบายนครปัตตานีในช่วงหาเสียง เอาเรื่องหลักก่อนว่าการกระจายอำนาจนั้นเป็นสิ่งที่ดีแน่ การที่ใน 3 จังหวัดภาคใต้มีการกระจายอำนาจ หรือมีการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้นนั้น เป็นทิศทางที่ถูกต้อง แต่ทำไมเขาไม่เลือกพรรคเพื่อไทย ตัวนี้เป็นตัวชี้วัดที่น่าจะสรุปได้เลย”
ไม่ต่างจากฝ่ายปฏิบัติงานในพื้นที่ “พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์” แม่ทัพภาคที่ 4 ที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรง ก็ระบุถึงความแรงต่อต้านจากคนในพื้นที่ “ถ้าพิจารณาจากผลเลือกตั้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนั้น ก็จะสะท้อนถึงการตอบสนองหรือตอบรับจากประชาชนในพื้นที่ถึงเรื่องนี้ได้ ที่ผ่านมาเป็นแค่เสียงเรียกร้องหรือการโยนหินถามทางเท่านั้น”
หรือแม้แต่คนกันเองอย่าง “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ก็ยัง “แตะเบรก” ไม่รักษาหน้าสมาชิกพรรคว่า “รัฐบาลหรือใครไม่สามารถที่จะไปกำหนดเองได้ว่าจะให้สามจังหวัดชายแดนใต้ กลายมาเป็นปัตตานีมหานคร หากจะเป็นปัตตานีมหานครต้องมีนราธิวาสมหานคร หรือยะลามหานครด้วยใช่ไหม ยืนยันว่าข้อเสนอดังกล่าวไม่มีทางแก้ไขความรุนแรงในพื้นที่ได้อย่างแน่นอน”
ค้านระนาวจน “รองนายกฯ ด้านความมั่นคง” ต้องออกมาแก้เขินในสิ่งที่ตัวเองปล่อยไก่ว่าเป็นแค่ “แนวคิด” ที่ให้ไปศึกษาเฉยๆ!!!
แต่ก็มิวายต้องถูก “นายใหญ่-นายหญิง” โทรมาติงกันบ้าง เพราะศึก “รัฐธรรมนูญ - จริยธรรม” ก็ยังไม่จบ ดันเปิดศึกอีกด้านจนงานเข้าเป็นลิงแก้แห
จะว่าไปแล้ว อาการ “พลิ้วตามปาก” ของ “อดีต รมว.กลาโหม” รายนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปล่อยจนเป็นเรื่องให้ฝั่งตรงข้ามออกมาโจมตีอย่างที่เห็น เพราะสมัยอยู่ที่กลาโหมเจ้าตัวก็มักจะให้สัมภาษณ์เออออห่อหมกกับนักข่าวอยู่บ่อยครั้ง ที่เป็นเรื่องเป็นราวก็เห็นจะเป็นครั้งปมปัญหาเรื่อง “พ.ร.บ.กลาโหม” ที่ทีแรกออกอาการตีโพยตีพาย ไม่ยอมให้กองทัพจัดโผข้ามหน้าข้ามตา จนหลุดวลีออกมาว่าตัวเอง “หมัดหนักกว่าเยอะ”
แต่สุดท้ายก็กลายเป็น “อ๊อดไฟเขียว” ให้บรรดาแม่ทัพนายกองชี้นิ้วเอานู่นเอานี่ได้ตามสบาย จน “นายใหญ่ตราดูไบ” เห็นท่าไม่ดี ต้องริบตำแหน่ง ดึงกลับมานั่งที่ทำเนียบรัฐบาลในตำแหน่ง “รองนายกฯ”
ในขณะที่ภารกิจดับไฟใต้ ซึ่งถือเป็นงานหลักบนหน้าที่ใหม่ เจ้าตัวก็ยังไม่ค่อยจะหยิบจับอะไรได้ถนัดนัก ข่าวคราว ข่าวสาร ข่าวกรอง ก็มักจะผิดเพี้ยนหลายครั้งหลายครา อย่างเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ออกลุกมาตะโกนปาวๆว่าไฟใต้เริ่มดีขึ้น เตรียมจ้องจะประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในบางพื้นที่ แต่ตกเย็นระเบิดก็ตูมตามกันถี่ยิบ
มิหนำซ้ำอุณหภูมิก็กลับยิ่งร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นระเบิดรายวัน คดีเก่าเมื่อเดือนที่แล้วอย่างกรณีทหารพรานยิงชาวบ้านเสียชีวิต 4 ศพที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ที่ยังไม่ได้บทสรุป หรือล่าสุด คลิปฉาวทหารเกณฑ์ไปปลุกปล้ำหญิงมุสลิม จนหลายฝ่ายกลัวจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
สารพัดสารเพที่เจ้าตัวยังลูบๆ คลำๆ หาทางแก้ไม่เจอ แถมดันมาโชว์โก๊ะเรียกแขกอย่างนี้ จับอารมณ์ตามเนื้อผ้า “นายใหญ่-นายหญิง” ไม่ปลื้มแน่
จากนี้เห็นที “บิ๊กอ๊อด” เองก็คงจะต้องขยับปรับแต่งกระบวนท่าเรื่องการแก้ปัญหาไฟใต้ให้รอบคอบ พิถีพิถันมากกว่าเดิม เพราะหากขืนปล่อยให้ปากพาไปแบบสุมสี่สุ่มห้าอย่างที่แล้วๆมา นอกเสียจากความเกลียดชังและแผลฉกรรจ์ที่คนใต้ยังจดจำสมัย “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี กระทำเอาไว้ยังไม่หาย มันจะยิ่งขยายใหญ่ลุกลามบานปลายจนไม่มีทางกู้ภาพได้เลย
และยิ่งร้ายกว่านั้นเจ้าตัวต้องจำว่าตำราเรื่อง “เขตปกครองพิเศษ” มันละเอียดอ่อนเกินกว่าจะมาพูดตามปากได้ และหลายรัฐบาลก็ล้มเหลวมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยหยิบจับมาทำ โอกาสประสบความสำเร็จมันจึงแทบเท่ากับ “ศูนย์”
ทางที่ดี งดพูด งดจ้อ น่าจะให้คุณมากกว่าโทษทั้งรัฐบาลและเก้าอี้ตำแหน่ง “ลุงอ๊อด” เอง