ASTVผู้จัดการรายวัน – จุฬาฯเผยผลวิจัยพบ60% คนต้องการซื้อคอนโดฯ 20% ซื้อคอนโดฯก่อนซื้อบ้านด้านพฤกษาผู้ประกอบการปรับตัวรับมือตลาดเปลี่ยน - AEC เพิ่มศักยภาพทำงาน กระจายลงทุนลดเสี่ยง เสริมสภาพคล่องรองรับลงทุนคอนโดฯ ด้านนายก ส.การขายฯเชื่อบ้านแนวราบ 3-5 ล้านบาทยังมาแรง
วานนี้ (21 มี.ค.55) สมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ จัดงานสัมมนา เรื่อง “Mega Change กับการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย นานาทัศนะ..สุดยอดนักการตลาด” โดย ร.ศ.มานพ พงศทัต ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมการขายการตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2555ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงปลายปี 2554ที่มีเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่
ทั้งนี้พิจารณาได้จากตัวเลขของงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 26 เมื่อวันที่ 15-18 มีนาคมที่ผ่านมา ตัวเลขผู้เข้าชมงานมากกว่า 1 แสนคน และยอดจองซื้อที่อยู่อาศัยในงานกว่า 3,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มคลี่คลายลง หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายในการแก้ปัญหาระบบบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ผู้บริโภคบางส่วนเริ่มกลับเข้าไปซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่น้ำท่วมมากขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ จากการสำรวจและวิจัยความต้องการที่อยู่อาศัย ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้น ไม่มีผลต่อการย้ายถิ่นฐานในการอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับล่าง-กลาง เนื่องจากที่อยู่อาศัยเดิมเป็นที่อยู่อาศัยที่ใกล้แหล่งงานเดิม โดยกลุ่มลูกค้าระดับล่างจะหันไปเลือกใช้วิธีการเช่า แทนการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคระดับกลางจะเลือกปรับปรุงซ่อมแซมบ้านและยังอยู่อาศัยในพื้นที่เดิม ส่วนกลุ่มที่จะมีการย้ายที่อยู่อาศัยใหม่ เป็นกลุ่มตลาดบน ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกขายที่อยู่เดิมแล้วหาซื้อบ้านใหม่ในทำเลปลอดน้ำท่วม
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการเลือกที่อยู่อาศัยในอนาคตนั้นจะเทไปในกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นชนชั้นกลางที่เริ่มทำงานจะเลือกที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯมากขึ้นซึ่งจากการสำรวจของจุฬาฯพบว่าคนรุ่นใหม่กว่า60% ต้องการที่คอนโดมิเนียม โดยในจำนวนนี้มีกว่า20% เป็นกลุ่มที่ตัดสินใจซื้อคอนโดฯก่อนเลือกซื้อรถยนต์
จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มการเลือกที่อยู่อาศัยในอนาคตของกลุ่มชนชั้นกลางจะเลือกซื้อคอนโดฯมากขึ้น โดยในปี 55นี้สัดส่วนคอนโดฯ จะอยู่ที่ประมาณ 55% จากตลาดรวมที่อยู่อาศัย เพิ่มขึ้น 51% ในปี 54
ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดในอนาคตและการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเชียน (AEC) ผู้ประกอบกอบการจะต้องให้น้ำหนักใน 3 เรื่องหลักๆ ประกอบด้วย 1.การปรับเปลี่ยนระบบบริหารจัดการธุรกิจ โดยการเพิ่มศักยภาพการบริหารงานให้มีความคล่องตัวและทำงานได้รวดเร็ว 2.การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ กระจายความเสี่ยงในการลงทุนโครงการใหม่มากขึ้น เช่น การกระจายทำเล และปรับตัวสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ให้มากที่สุด
และ 3 การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเงิน หรือการบริหารจัดการหนี้และสภาพคล่องทางการเงินขององค์กรให้มีศักยภาพมากที่สุด เนื่องจากในอนาคตตลาดจะย้ายเข้าไปในกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯมากขึ้น ซึ่งการลงทุนพัฒนาคอนโดฯนั้นผู้ประกอบการจะก่อหนี้มากขึ้น แต่รับรู้รายได้ช้าตามระยะเวลาการก่อสร้าง
ด้านนายไพโรจน์ สุขจั่น นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 55 ตลาดแนวราบต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว เนื่องจากทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบยังมีความกังวลในเรื่องของภัยน้ำท่วมโดยเฉพาะในโซนพื้นที่เสี่ยงและแนวเส้นทางฟลัดเวย์ที่ภาครัฐได้กำหนด ดังนั้นทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคจึงมีการปรับตัวไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้ง รูปแบบบ้าน ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการต้องเร่งสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค และคาดว่าจะมีการแข่งขันสูงในบางทำเล โดยบ้านราคา 3-5 ล้านบาททำเลชานเมืองยังไปได้
อย่างไรก็ดีเชื่อว่าผู้ประกอบการได้กระจายความเสี่ยงโดยหันไปพัฒนาโครงการในจังหวัดท่องเที่ยวมากขึ้นเช่น ชลบุรี พัทยา ฯลฯ ขณะที่ในปี 58 ประเทศไทยจะเข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจอสังหาฯไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแรงงาน แหล่งเงินทุน ฯลฯสิ่งเหล่านี้ต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นด้วย
ด้านนายสมศักดิ์ ชุติศิลป์ กรรมการผู้จัดการบริษัท บี.ซี.พี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด กล่าวถึงสถานะการตลาดบ้านมือสองว่า ภาพรวมตลาดยังคงชะลอตัวโดย2 เดือนแรกของปีนี้ยอดขายยังลดลง20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2554คาดว่าไตรมาส2 ตลาดเริ่มฟื้นตัวโดยทำเลที่ยังเติบโตได้ดีจะอยู่ในโซนบางนา ศรีนครินทร์ เป็นต้น สำหรับเรื่อง AEC นั้นอาชีพโบรกเกอร์จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากเนื่องจากปัจจุบันยังมีกฎหมายใดๆรองรับใครๆก็สามารถทำได้ต่อไปต่างชาติจะมาบริหารการขายมากขึ้นจึงอยากให้ภาครัฐกำหนดคุณสมบัติให้ชัดเจน
วานนี้ (21 มี.ค.55) สมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ จัดงานสัมมนา เรื่อง “Mega Change กับการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย นานาทัศนะ..สุดยอดนักการตลาด” โดย ร.ศ.มานพ พงศทัต ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมการขายการตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2555ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงปลายปี 2554ที่มีเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่
ทั้งนี้พิจารณาได้จากตัวเลขของงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 26 เมื่อวันที่ 15-18 มีนาคมที่ผ่านมา ตัวเลขผู้เข้าชมงานมากกว่า 1 แสนคน และยอดจองซื้อที่อยู่อาศัยในงานกว่า 3,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มคลี่คลายลง หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายในการแก้ปัญหาระบบบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ผู้บริโภคบางส่วนเริ่มกลับเข้าไปซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่น้ำท่วมมากขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ จากการสำรวจและวิจัยความต้องการที่อยู่อาศัย ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้น ไม่มีผลต่อการย้ายถิ่นฐานในการอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับล่าง-กลาง เนื่องจากที่อยู่อาศัยเดิมเป็นที่อยู่อาศัยที่ใกล้แหล่งงานเดิม โดยกลุ่มลูกค้าระดับล่างจะหันไปเลือกใช้วิธีการเช่า แทนการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคระดับกลางจะเลือกปรับปรุงซ่อมแซมบ้านและยังอยู่อาศัยในพื้นที่เดิม ส่วนกลุ่มที่จะมีการย้ายที่อยู่อาศัยใหม่ เป็นกลุ่มตลาดบน ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกขายที่อยู่เดิมแล้วหาซื้อบ้านใหม่ในทำเลปลอดน้ำท่วม
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการเลือกที่อยู่อาศัยในอนาคตนั้นจะเทไปในกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นชนชั้นกลางที่เริ่มทำงานจะเลือกที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯมากขึ้นซึ่งจากการสำรวจของจุฬาฯพบว่าคนรุ่นใหม่กว่า60% ต้องการที่คอนโดมิเนียม โดยในจำนวนนี้มีกว่า20% เป็นกลุ่มที่ตัดสินใจซื้อคอนโดฯก่อนเลือกซื้อรถยนต์
จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มการเลือกที่อยู่อาศัยในอนาคตของกลุ่มชนชั้นกลางจะเลือกซื้อคอนโดฯมากขึ้น โดยในปี 55นี้สัดส่วนคอนโดฯ จะอยู่ที่ประมาณ 55% จากตลาดรวมที่อยู่อาศัย เพิ่มขึ้น 51% ในปี 54
ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดในอนาคตและการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเชียน (AEC) ผู้ประกอบกอบการจะต้องให้น้ำหนักใน 3 เรื่องหลักๆ ประกอบด้วย 1.การปรับเปลี่ยนระบบบริหารจัดการธุรกิจ โดยการเพิ่มศักยภาพการบริหารงานให้มีความคล่องตัวและทำงานได้รวดเร็ว 2.การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ กระจายความเสี่ยงในการลงทุนโครงการใหม่มากขึ้น เช่น การกระจายทำเล และปรับตัวสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ให้มากที่สุด
และ 3 การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเงิน หรือการบริหารจัดการหนี้และสภาพคล่องทางการเงินขององค์กรให้มีศักยภาพมากที่สุด เนื่องจากในอนาคตตลาดจะย้ายเข้าไปในกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯมากขึ้น ซึ่งการลงทุนพัฒนาคอนโดฯนั้นผู้ประกอบการจะก่อหนี้มากขึ้น แต่รับรู้รายได้ช้าตามระยะเวลาการก่อสร้าง
ด้านนายไพโรจน์ สุขจั่น นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 55 ตลาดแนวราบต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว เนื่องจากทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบยังมีความกังวลในเรื่องของภัยน้ำท่วมโดยเฉพาะในโซนพื้นที่เสี่ยงและแนวเส้นทางฟลัดเวย์ที่ภาครัฐได้กำหนด ดังนั้นทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคจึงมีการปรับตัวไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้ง รูปแบบบ้าน ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการต้องเร่งสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค และคาดว่าจะมีการแข่งขันสูงในบางทำเล โดยบ้านราคา 3-5 ล้านบาททำเลชานเมืองยังไปได้
อย่างไรก็ดีเชื่อว่าผู้ประกอบการได้กระจายความเสี่ยงโดยหันไปพัฒนาโครงการในจังหวัดท่องเที่ยวมากขึ้นเช่น ชลบุรี พัทยา ฯลฯ ขณะที่ในปี 58 ประเทศไทยจะเข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจอสังหาฯไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแรงงาน แหล่งเงินทุน ฯลฯสิ่งเหล่านี้ต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นด้วย
ด้านนายสมศักดิ์ ชุติศิลป์ กรรมการผู้จัดการบริษัท บี.ซี.พี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด กล่าวถึงสถานะการตลาดบ้านมือสองว่า ภาพรวมตลาดยังคงชะลอตัวโดย2 เดือนแรกของปีนี้ยอดขายยังลดลง20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2554คาดว่าไตรมาส2 ตลาดเริ่มฟื้นตัวโดยทำเลที่ยังเติบโตได้ดีจะอยู่ในโซนบางนา ศรีนครินทร์ เป็นต้น สำหรับเรื่อง AEC นั้นอาชีพโบรกเกอร์จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากเนื่องจากปัจจุบันยังมีกฎหมายใดๆรองรับใครๆก็สามารถทำได้ต่อไปต่างชาติจะมาบริหารการขายมากขึ้นจึงอยากให้ภาครัฐกำหนดคุณสมบัติให้ชัดเจน