**วันอังคารที่ 20 มีนาคมนี้ ศาลฎีกาได้นัดอ่านคำตัดสินคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้มีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ให้ใบแดง นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา และอดีต รมช.มหาดไทย จาก พรรคภูมิใจไทย ในข้อหาจัดเลี้ยงช่วงที่มีการจัดการเลือกตั้งซ่อม เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2553
สำนวนของกกต.ระบุว่า เมื่อวันที่ 19-20 พ.ย. 53 นายบุญจง ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมสัมมนาผู้นำชุมชนใน อ.จักราช จ.นครราชสีมา โดยให้เจ้าหน้าที่พัฒนาการ จ.นครราชสีมา นำผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 300 คน เดินทางไปอบรมที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งใน จ.ระยอง พร้อมแจกสิ่งของในระหว่างการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 จ.นครราชสีมา
**ทั้งนี้หาก บุญจง ไม่รอด ก็จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ตามคำร้องกกต.เห็นว่าบุญจง กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 มาตรา 53 (1) (3) และ (4) ของพ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ปี 2550
เบื้องต้น บุญจง แกนนำภูมิใจไทย ยังมั่นใจลึกๆว่าจะรอด แม้จะมีคนในพรรคภูมิใจไทยด้วยกันเอง กลับลุ้นขอให้ บุญจง โดนตัดสินว่า “ผิด” เพื่อที่จะได้เตรียมตัวแยกย้ายกันแบบไม่มีอะไรให้ค้างคาใจ
ก็ต้องดูกันว่า ศาลฎีกาตัดสินออกมาอย่างไร หากว่า ศาลฎีกาตัดสินว่า บุญจงทำผิดตามคำร้อง ตามขั้นตอน ก็ต้องส่งไปให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป เพราะ บุญจง เป็นรองหัวหน้าพรรคในช่วงเกิดเหตุที่โดนใบแดง และก็ยังเป็นอยู่ในเวลานี้
ไม่ได้มีเจตาชี้นำ ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ตามหลักแล้วหากศาลฎีกาซึ่งมีการเปิดห้องพิจารณาคดีไต่สวนพยานหลักฐานมาหมดแล้ว และส่งมาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ดูแค่ว่า บุญจง เป็นกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ เข้าข่ายต้องยุบพรรค ตามมาตรา 237 ในรัฐธรรมนูญ ปี 50 ประกอบพ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2550 มาตรา 94 (1) (2) และ มาตรา 95
ศาลรัฐธรรมนูญจึงแทบไม่ต้องไต่สวนอะไรเพิ่มเติม เพราะในชั้นศาลฎีกา ตัวบุญจง ก็ได้ต่อสู้คดีมาเต็มที่แล้ว ขนพยานหลักฐาน-พยานบุคคล มาหมดแล้ว เช่นเดียวกับฝ่ายผู้ร้องคือ กกต. กระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงจึงจบแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ก็แค่ดูว่า เข้าข่ายมาตรา 237 หรือไม่เท่านั้น แค่นั้น ก็มีความเห็นได้แล้ว และคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก
**ยุบพรรค ภูมิใจไทย
ดังนั้นหาก บุญจง และแกนนำพรรคสายเนวิน ชิดชอบ และ อนุทิน ชาญวีรกูล ต้องการทำพรรคภูมิใจไทยต่อ และยังไม่ต้องการให้พรรคแตกในเวลานี้ ก็ต้อง ลุ้นให้บุญจงรอด ในวันอังคารนี้
อีกด้านหนึ่งมีข่าวว่า กลุ่มมัชฌิมา ของสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่มี ส.ส.ในมือประมาณ 8 เสียง ก็ลุ้นให้ “บุญจง ไม่รอด” เพื่อสุดท้ายภูมิใจไทย จะได้โดนยุบแล้วก็จะได้ย้ายกลับเข้าพรรคเพื่อไทย แบบไม่มีข้อครหาว่า ทิ้งเพื่อน หรือเป็น งูเห่า
แต่ เนวิน-บุญจง-อนุทิน ก็คงภาวนาขอให้บุญจงรอดไปก่อน เพื่อภูมิใจไทย จะได้ไม่ต้องแตกรังก่อนเวลาอันควร อย่างน้อยก็ต้องการให้เกาะกลุ่มกันไปแบบนี้เป็นพรรคอันดับ 3 คือ มี ส.ส. 34 คน จากระบบปาร์ตี้ลิสต์ 5 คน และระบบเขต 29 คน ก็ยังดีกว่าพรรคแตกหลังโดนยุบ และหากถามความเห็นแกนนำพรรคสายเนวิน-อนุทิน ก็ยังเชื่อว่า บุญจง น่าจะรอด หลังฟังสรุปการสู้คดีทั้งหมดในชั้นศาลตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย จึงไม่แปลกที่เหตุใดจึงไม่มีข่าว เนวิน เตรียมตั้งพรรคใหม่ใดๆ ออกมา แต่ของแบบนี้เชื่อได้ว่า เนวินกับ อนุทิน ต่างก็หาทางหนีทีไล่ไว้หมดแล้ว ว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป หากบุญจง ไม่รอด ภูมิใจไทยเสี่ยงโดนยุบ
จะเอาส.ส.ในกลุ่มไปฝากเลี้ยงไว้กับพรรคอื่นที่เป็นรัฐบาลเช่น รวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ของสุวัจน์ ลิปตพัลลภ หรือ ชาติไทยพัฒนา ของ บรรหาร ศิลปอาชา เพื่อจะได้มีส.ส.มากขึ้น เสร็จแล้วก็ไปต่อรองเอาตำแหน่งโควต้ารัฐมนตรีมา แล้วแบ่งปันให้ กลุ่มเนวิน-อนุทิน
หรือจะฝากเลี้ยงไว้กับกลุ่ม สมศักดิ์ เทพสุทิน ให้เข้าไปอยู่เพื่อไทยด้วย แต่กรณีนี้ค่อนข้างลำบากหน่อยเพราะก็จะโดนพวกเพื่อไทยโดยเฉพาะสายอีสาน ต่อต้านไม่ให้พวกฝากเลี้ยงสายเนวิน เข้าพรรคเพื่อไทย
ส่วนตัวสมศักดิ์ เองแม้อยากได้ตัวส.ส.ของเนวิน มาเสริมเพื่อให้มีตัวเลขส.ส.มากขึ้นจะได้ต่อรองการเมืองกับแกนนำเพื่อไทยได้
แต่สมศักดิ์ก็คงไม่อยากมีปัญหากับคนในเพื่อไทยทันที ตั้งแต่ก้าวแรกกลับเข้าเพื่อไทย แล้วพ่วงเอาเด็กเนวินมาด้วยในลักษณะเติมจำนวน แต่ต้องเจอแรงเขม่นจากคนเพื่อไทย เพราะลำพังแค่เอาคนของกลุ่มตัวเอง 7-8 คน เข้าเพื่อไทยก็ได้แล้วอย่างน้อยหนึ่งตำแหน่ง ระดับว่าการกระทรวงเกรดบี แค่นี้ก็น่าจะพอใจแล้ว
ต้องไม่ลืมว่า เมื่อกลุ่มสมศักดิ์เข้ามา และคงขอเป็นรัฐมนตรีเองรอบนี้ให้หายอยาก หลังจากว่างงานมาห้าปีเต็ม ก็เป็นช่วงที่ พวก 111 ไทยรักไทย ก็ต้องพ้นโทษแบนการเมือง การต่อรองก็จะทำได้ยาก เพราะหากกลุ่มสมศักดิ์ จะกลับมา แล้วมีการปรับครม. ก็ต้องหมายถึงว่าต้องมีการเกลี่ยโควต้ากันใหม่
ลำพังแค่การปรับครม. หลัง 111 กลับมา ก็น่าจะวุ่นวายพออยู่แล้ว การต่อรองของกลุ่มสมศักดิ์ในการขอกลับมาเป็นแกนนำเพื่อไทย จึงแทบปิดประตูไปได้เลย ดังนั้นสมศักดิ์ จึงจะกลับเข้าเพื่อไทยแบบไม่น่าจะหิ้วปีกพวกที่ไม่ใช่มัชฌิมา จากภูมิใจไทยเข้ามาด้วย ให้เกิดปัญหาแน่นอน **หากบุญจงไม่รอด ภูมิใจไทยโดนยุบ สมศักดิ์กลับเพื่อไทยแน่นอน แต่ เนวิน-อนุทิน จะไปไหน ตรงนี้ต้องคอยติดตาม
หลายข่าวหลายกระแส ชี้มีทางเลือกทั้งตั้งพรรคใหม่ แล้วเอาอนุทิน เป็นหัวหน้าพรรคขัดตาทัพไปก่อน หรือเอาส.ส.ในกลุ่มไปฝากเลี้ยงไว้กับพรรคร่วมรัฐบาลพรรคใดพรรคหนึ่ง เพื่อจะได้มีโควต้ารัฐมนตรีเพิ่มสำหรับพรรคนั้น แต่สูตรนี้ ก็ต้องดูด้วยว่า พรรคดังกล่าวจะเอาด้วยหรือไม่ เพราะหากพรรคร่วมรัฐบาลที่จะเอาส.ส.ของพวกเนวินมาชุบเลี้ยง ถ้าไปคุยกับทักษิณ แล้ว ทักษิณไม่ยอม การฝากเลี้ยงก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
แต่หาก บุญจงรอด ซึ่งก็ยังน่าลุ้นอยู่ ภูมิใจไทย ก็อยู่ต่อ และหากเป็นแบบนี้ หลังพฤษภาคม ชวรัตน์ ชาญวีรกูล ก็จะเป็นแค่ ส.ส.อย่างเดียว แล้วเปิดตำแหน่งหัวหน้าพรรคให้ลูกชายตัวเอง อนุทิน ได้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยบ้าง อันเป็นสิ่งที่เนวิน ต้องการเห็นอยู่แล้ว กับการให้ เสี่ยหนู รับผิดชอบพรรคเต็มตัวไปเลย
** ทว่า สูตรหลังคือ บุญจง รอด ภูมิใจไทยไม่โดนยุบ ดูเหมือนคนที่ไม่แฮปปี้เอาเสียเลย น่าจะเป็นกลุ่มสมศักดิ์แน่นอน
สำนวนของกกต.ระบุว่า เมื่อวันที่ 19-20 พ.ย. 53 นายบุญจง ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมสัมมนาผู้นำชุมชนใน อ.จักราช จ.นครราชสีมา โดยให้เจ้าหน้าที่พัฒนาการ จ.นครราชสีมา นำผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 300 คน เดินทางไปอบรมที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งใน จ.ระยอง พร้อมแจกสิ่งของในระหว่างการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 จ.นครราชสีมา
**ทั้งนี้หาก บุญจง ไม่รอด ก็จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ตามคำร้องกกต.เห็นว่าบุญจง กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 มาตรา 53 (1) (3) และ (4) ของพ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ปี 2550
เบื้องต้น บุญจง แกนนำภูมิใจไทย ยังมั่นใจลึกๆว่าจะรอด แม้จะมีคนในพรรคภูมิใจไทยด้วยกันเอง กลับลุ้นขอให้ บุญจง โดนตัดสินว่า “ผิด” เพื่อที่จะได้เตรียมตัวแยกย้ายกันแบบไม่มีอะไรให้ค้างคาใจ
ก็ต้องดูกันว่า ศาลฎีกาตัดสินออกมาอย่างไร หากว่า ศาลฎีกาตัดสินว่า บุญจงทำผิดตามคำร้อง ตามขั้นตอน ก็ต้องส่งไปให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป เพราะ บุญจง เป็นรองหัวหน้าพรรคในช่วงเกิดเหตุที่โดนใบแดง และก็ยังเป็นอยู่ในเวลานี้
ไม่ได้มีเจตาชี้นำ ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ตามหลักแล้วหากศาลฎีกาซึ่งมีการเปิดห้องพิจารณาคดีไต่สวนพยานหลักฐานมาหมดแล้ว และส่งมาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ดูแค่ว่า บุญจง เป็นกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ เข้าข่ายต้องยุบพรรค ตามมาตรา 237 ในรัฐธรรมนูญ ปี 50 ประกอบพ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2550 มาตรา 94 (1) (2) และ มาตรา 95
ศาลรัฐธรรมนูญจึงแทบไม่ต้องไต่สวนอะไรเพิ่มเติม เพราะในชั้นศาลฎีกา ตัวบุญจง ก็ได้ต่อสู้คดีมาเต็มที่แล้ว ขนพยานหลักฐาน-พยานบุคคล มาหมดแล้ว เช่นเดียวกับฝ่ายผู้ร้องคือ กกต. กระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงจึงจบแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ก็แค่ดูว่า เข้าข่ายมาตรา 237 หรือไม่เท่านั้น แค่นั้น ก็มีความเห็นได้แล้ว และคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก
**ยุบพรรค ภูมิใจไทย
ดังนั้นหาก บุญจง และแกนนำพรรคสายเนวิน ชิดชอบ และ อนุทิน ชาญวีรกูล ต้องการทำพรรคภูมิใจไทยต่อ และยังไม่ต้องการให้พรรคแตกในเวลานี้ ก็ต้อง ลุ้นให้บุญจงรอด ในวันอังคารนี้
อีกด้านหนึ่งมีข่าวว่า กลุ่มมัชฌิมา ของสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่มี ส.ส.ในมือประมาณ 8 เสียง ก็ลุ้นให้ “บุญจง ไม่รอด” เพื่อสุดท้ายภูมิใจไทย จะได้โดนยุบแล้วก็จะได้ย้ายกลับเข้าพรรคเพื่อไทย แบบไม่มีข้อครหาว่า ทิ้งเพื่อน หรือเป็น งูเห่า
แต่ เนวิน-บุญจง-อนุทิน ก็คงภาวนาขอให้บุญจงรอดไปก่อน เพื่อภูมิใจไทย จะได้ไม่ต้องแตกรังก่อนเวลาอันควร อย่างน้อยก็ต้องการให้เกาะกลุ่มกันไปแบบนี้เป็นพรรคอันดับ 3 คือ มี ส.ส. 34 คน จากระบบปาร์ตี้ลิสต์ 5 คน และระบบเขต 29 คน ก็ยังดีกว่าพรรคแตกหลังโดนยุบ และหากถามความเห็นแกนนำพรรคสายเนวิน-อนุทิน ก็ยังเชื่อว่า บุญจง น่าจะรอด หลังฟังสรุปการสู้คดีทั้งหมดในชั้นศาลตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย จึงไม่แปลกที่เหตุใดจึงไม่มีข่าว เนวิน เตรียมตั้งพรรคใหม่ใดๆ ออกมา แต่ของแบบนี้เชื่อได้ว่า เนวินกับ อนุทิน ต่างก็หาทางหนีทีไล่ไว้หมดแล้ว ว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป หากบุญจง ไม่รอด ภูมิใจไทยเสี่ยงโดนยุบ
จะเอาส.ส.ในกลุ่มไปฝากเลี้ยงไว้กับพรรคอื่นที่เป็นรัฐบาลเช่น รวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ของสุวัจน์ ลิปตพัลลภ หรือ ชาติไทยพัฒนา ของ บรรหาร ศิลปอาชา เพื่อจะได้มีส.ส.มากขึ้น เสร็จแล้วก็ไปต่อรองเอาตำแหน่งโควต้ารัฐมนตรีมา แล้วแบ่งปันให้ กลุ่มเนวิน-อนุทิน
หรือจะฝากเลี้ยงไว้กับกลุ่ม สมศักดิ์ เทพสุทิน ให้เข้าไปอยู่เพื่อไทยด้วย แต่กรณีนี้ค่อนข้างลำบากหน่อยเพราะก็จะโดนพวกเพื่อไทยโดยเฉพาะสายอีสาน ต่อต้านไม่ให้พวกฝากเลี้ยงสายเนวิน เข้าพรรคเพื่อไทย
ส่วนตัวสมศักดิ์ เองแม้อยากได้ตัวส.ส.ของเนวิน มาเสริมเพื่อให้มีตัวเลขส.ส.มากขึ้นจะได้ต่อรองการเมืองกับแกนนำเพื่อไทยได้
แต่สมศักดิ์ก็คงไม่อยากมีปัญหากับคนในเพื่อไทยทันที ตั้งแต่ก้าวแรกกลับเข้าเพื่อไทย แล้วพ่วงเอาเด็กเนวินมาด้วยในลักษณะเติมจำนวน แต่ต้องเจอแรงเขม่นจากคนเพื่อไทย เพราะลำพังแค่เอาคนของกลุ่มตัวเอง 7-8 คน เข้าเพื่อไทยก็ได้แล้วอย่างน้อยหนึ่งตำแหน่ง ระดับว่าการกระทรวงเกรดบี แค่นี้ก็น่าจะพอใจแล้ว
ต้องไม่ลืมว่า เมื่อกลุ่มสมศักดิ์เข้ามา และคงขอเป็นรัฐมนตรีเองรอบนี้ให้หายอยาก หลังจากว่างงานมาห้าปีเต็ม ก็เป็นช่วงที่ พวก 111 ไทยรักไทย ก็ต้องพ้นโทษแบนการเมือง การต่อรองก็จะทำได้ยาก เพราะหากกลุ่มสมศักดิ์ จะกลับมา แล้วมีการปรับครม. ก็ต้องหมายถึงว่าต้องมีการเกลี่ยโควต้ากันใหม่
ลำพังแค่การปรับครม. หลัง 111 กลับมา ก็น่าจะวุ่นวายพออยู่แล้ว การต่อรองของกลุ่มสมศักดิ์ในการขอกลับมาเป็นแกนนำเพื่อไทย จึงแทบปิดประตูไปได้เลย ดังนั้นสมศักดิ์ จึงจะกลับเข้าเพื่อไทยแบบไม่น่าจะหิ้วปีกพวกที่ไม่ใช่มัชฌิมา จากภูมิใจไทยเข้ามาด้วย ให้เกิดปัญหาแน่นอน **หากบุญจงไม่รอด ภูมิใจไทยโดนยุบ สมศักดิ์กลับเพื่อไทยแน่นอน แต่ เนวิน-อนุทิน จะไปไหน ตรงนี้ต้องคอยติดตาม
หลายข่าวหลายกระแส ชี้มีทางเลือกทั้งตั้งพรรคใหม่ แล้วเอาอนุทิน เป็นหัวหน้าพรรคขัดตาทัพไปก่อน หรือเอาส.ส.ในกลุ่มไปฝากเลี้ยงไว้กับพรรคร่วมรัฐบาลพรรคใดพรรคหนึ่ง เพื่อจะได้มีโควต้ารัฐมนตรีเพิ่มสำหรับพรรคนั้น แต่สูตรนี้ ก็ต้องดูด้วยว่า พรรคดังกล่าวจะเอาด้วยหรือไม่ เพราะหากพรรคร่วมรัฐบาลที่จะเอาส.ส.ของพวกเนวินมาชุบเลี้ยง ถ้าไปคุยกับทักษิณ แล้ว ทักษิณไม่ยอม การฝากเลี้ยงก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
แต่หาก บุญจงรอด ซึ่งก็ยังน่าลุ้นอยู่ ภูมิใจไทย ก็อยู่ต่อ และหากเป็นแบบนี้ หลังพฤษภาคม ชวรัตน์ ชาญวีรกูล ก็จะเป็นแค่ ส.ส.อย่างเดียว แล้วเปิดตำแหน่งหัวหน้าพรรคให้ลูกชายตัวเอง อนุทิน ได้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยบ้าง อันเป็นสิ่งที่เนวิน ต้องการเห็นอยู่แล้ว กับการให้ เสี่ยหนู รับผิดชอบพรรคเต็มตัวไปเลย
** ทว่า สูตรหลังคือ บุญจง รอด ภูมิใจไทยไม่โดนยุบ ดูเหมือนคนที่ไม่แฮปปี้เอาเสียเลย น่าจะเป็นกลุ่มสมศักดิ์แน่นอน