เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์ คาดสัปดาห์นี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแตะ 1.2 พันจุด มาร์เกตแคปทำนิวไฮด์ 10 ล้านล้านบาท เหตุ ทิศทางเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง-ยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ ด้าน "จรัมพร" ชี้ หากขนาดตลาดใหญ่ขึ้นมีลุ้นMSCIปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยเป็น 3% จากที่ผ่านมาเคยอยู่ระดับกว่า 2% ด้านบล.เอเซีย พลัส เตือนจับตาทิศทาทางเม็ดเงินต่างชาติอาจขายทำกำไร แนะสัปดาห์นี้จับตาผลการประชุมนโยบายอัตราดอกเบี้ยของทางการไทย รวมทั้งการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1,200 จุด และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่จัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยณ วันที่ 16 มีนาคม 2555 อยู่ที่ 9.76 ล้านล้านบาท เนื่องจาก มองว่าในระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง และเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศเชื่อว่าจะยังคงไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง แม้ตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิแล้ว 67,289.14 ล้านบาท ณ วันที่ 16 มีนาคม 2555 จากที่สภาพคล่องเม็ดเงินลงทุนในโลกขณะนี้ที่มีจำนวนสูงมาก ซึ่งจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในเอเซีย จากที่เศรษฐกิจมีการเติบโตที่ดี และเข้ามาตลาดทุนไทยเชช่นกัน
"ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศจะสะดุด เชื่อว่าน่าจะยังคงไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง แต่เรื่องปัญหาหนี้ในแถบยูโรโซน นั้นก็จะต้องมีการติดตามดูในช่วงระยะถัดไปว่าจะเป็นอย่างไร เพราะ มีบางประเทศที่เศรษฐกิจถดถอยอยู่ "นายสมบัติ กล่าว
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า หากมาร์เกตแคปของตลาดหลักทรัพย์ฯมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 10 ล้านล้านบาท เชื่อว่าจะยิ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น จากที่มีขนาดตลาดที่ใหญ่ โดยเชื่อว่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยในน้ำหนักดัชนี MSCIน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 3% ได้ จากที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเคยขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณกว่า 2% เท่านั้น และ ทาง ฟุ๊ตซี่ กรุ๊ป (FTSE Group) บริษัทผู้จัดทำดัชนีชั้นนำของโลกได้ประกาศให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ชั้นนำ (Advanced Emerging Market) เชื่อว่ายิ่งทำให้นักลงทุนต่างประเทศที่ยังไม่เคยมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยหันมาสนใจตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยว่า จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงไหลเข้ามาต่อเนื่อง แม้จะมีมูลค่าการซื้อสุทธิที่ลดลงบ้างจากที่ผ่านมาเข้ามาซื้อสุทธิถึง 67,289.14 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนจะต้องระมัดระวังการลงทุนและติดตามเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอย่างใกล้ชิด เพราะ จากสถิติตั้งแต่ปี 2558 พบว่า ในแต่ละรอบที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 6.5 หมื่นล้านบาท แล้วมีการขายออก แต่ในรอบนี้นักลงทุนต่างาชาติซื้อสุทธิแล้ว ดังนั้นนักลงทุนจะต้องมีการระมัดระวังการลงทุนและติตามทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอย่างใกล้ชด
ทั้งนี้คาดว่าจากการที่ดัชนีตลาดห้นไทยมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นซึ่งจะทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 10 ล้านล้านบาทได้ แต่คาดว่าจะไม่ใช่ในช่วงระยะสั้นนี้ จากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมการปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากแล้ว และราคาหุ้นไทยถือว่าแพงแล้ว อาจจะทำให้นักลงทุนมีการขายทำกำไรทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการพักฐานลงบ้าง
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ รักษาการผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งและเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งถือว่าโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค ยกเว้นตลาดหุ้นจีน และฟิลิปปินส์ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้าซื้อต่อเนื่อง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปเริ่มผ่อนคลายในทางที่ดี ส่วนแนวโน้มในสัปดาห์นี้ หากเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าต่อเนื่อง มีโอกาสเห็นดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,200 จุด ซึ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังลงทุนมากขึ้น เพราะเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่อาจทำให้ตลาดปรับฐานเล็กหรือใหญ่ได้ ส่วนแนวรับคาดอยู่ที่ 1,160 จุด และ 1,170 จุด ด้านกลยุทธ์ หากดัชนีเข้าใกล้แนวต้าน แนะนำนักลงทุนที่มีต้นทุนต่ำขายทำกำไร 30% ของพอร์ตลงทุน
ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดดัชนี SET ปรับเพิ่มขึ้น จากแรงซื้อของต่างชาติ โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,189.56 จุด เพิ่มขึ้น 2.66% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 12.83% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 36,693.20 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 293.79 จุด เพิ่มขึ้น 1.25% โดยตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในวันจันทร์ จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันจากความคาดหวังด้านบวก หลังธนาคารแห่งประเทศไทยมีท่าทีที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ โครงการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินกับผู้ประสบอุทกภัย (ซอฟท์โลน) ยังช่วยหนุนภาพการขยายตัวของสินเชื่อและหนุนหุ้นในกลุ่มธนาคาร
สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 19-23 มี.ค. 2555 มองว่าดัชนีอาจแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยต้องจับตาผลการประชุมนโยบายอัตราดอกเบี้ยของทางการไทย รวมทั้งการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องชี้ตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งนี้คาดว่าดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,170 และ 1,150 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,200 และ 1,230 จุด ตามลำดับ
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1,200 จุด และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่จัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยณ วันที่ 16 มีนาคม 2555 อยู่ที่ 9.76 ล้านล้านบาท เนื่องจาก มองว่าในระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง และเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศเชื่อว่าจะยังคงไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง แม้ตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิแล้ว 67,289.14 ล้านบาท ณ วันที่ 16 มีนาคม 2555 จากที่สภาพคล่องเม็ดเงินลงทุนในโลกขณะนี้ที่มีจำนวนสูงมาก ซึ่งจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในเอเซีย จากที่เศรษฐกิจมีการเติบโตที่ดี และเข้ามาตลาดทุนไทยเชช่นกัน
"ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศจะสะดุด เชื่อว่าน่าจะยังคงไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง แต่เรื่องปัญหาหนี้ในแถบยูโรโซน นั้นก็จะต้องมีการติดตามดูในช่วงระยะถัดไปว่าจะเป็นอย่างไร เพราะ มีบางประเทศที่เศรษฐกิจถดถอยอยู่ "นายสมบัติ กล่าว
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า หากมาร์เกตแคปของตลาดหลักทรัพย์ฯมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 10 ล้านล้านบาท เชื่อว่าจะยิ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น จากที่มีขนาดตลาดที่ใหญ่ โดยเชื่อว่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยในน้ำหนักดัชนี MSCIน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 3% ได้ จากที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเคยขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณกว่า 2% เท่านั้น และ ทาง ฟุ๊ตซี่ กรุ๊ป (FTSE Group) บริษัทผู้จัดทำดัชนีชั้นนำของโลกได้ประกาศให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ชั้นนำ (Advanced Emerging Market) เชื่อว่ายิ่งทำให้นักลงทุนต่างประเทศที่ยังไม่เคยมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยหันมาสนใจตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยว่า จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงไหลเข้ามาต่อเนื่อง แม้จะมีมูลค่าการซื้อสุทธิที่ลดลงบ้างจากที่ผ่านมาเข้ามาซื้อสุทธิถึง 67,289.14 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนจะต้องระมัดระวังการลงทุนและติดตามเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอย่างใกล้ชิด เพราะ จากสถิติตั้งแต่ปี 2558 พบว่า ในแต่ละรอบที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 6.5 หมื่นล้านบาท แล้วมีการขายออก แต่ในรอบนี้นักลงทุนต่างาชาติซื้อสุทธิแล้ว ดังนั้นนักลงทุนจะต้องมีการระมัดระวังการลงทุนและติตามทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอย่างใกล้ชด
ทั้งนี้คาดว่าจากการที่ดัชนีตลาดห้นไทยมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นซึ่งจะทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 10 ล้านล้านบาทได้ แต่คาดว่าจะไม่ใช่ในช่วงระยะสั้นนี้ จากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมการปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากแล้ว และราคาหุ้นไทยถือว่าแพงแล้ว อาจจะทำให้นักลงทุนมีการขายทำกำไรทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการพักฐานลงบ้าง
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ รักษาการผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งและเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งถือว่าโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค ยกเว้นตลาดหุ้นจีน และฟิลิปปินส์ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้าซื้อต่อเนื่อง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปเริ่มผ่อนคลายในทางที่ดี ส่วนแนวโน้มในสัปดาห์นี้ หากเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าต่อเนื่อง มีโอกาสเห็นดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,200 จุด ซึ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังลงทุนมากขึ้น เพราะเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่อาจทำให้ตลาดปรับฐานเล็กหรือใหญ่ได้ ส่วนแนวรับคาดอยู่ที่ 1,160 จุด และ 1,170 จุด ด้านกลยุทธ์ หากดัชนีเข้าใกล้แนวต้าน แนะนำนักลงทุนที่มีต้นทุนต่ำขายทำกำไร 30% ของพอร์ตลงทุน
ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดดัชนี SET ปรับเพิ่มขึ้น จากแรงซื้อของต่างชาติ โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,189.56 จุด เพิ่มขึ้น 2.66% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 12.83% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 36,693.20 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 293.79 จุด เพิ่มขึ้น 1.25% โดยตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในวันจันทร์ จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันจากความคาดหวังด้านบวก หลังธนาคารแห่งประเทศไทยมีท่าทีที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ โครงการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินกับผู้ประสบอุทกภัย (ซอฟท์โลน) ยังช่วยหนุนภาพการขยายตัวของสินเชื่อและหนุนหุ้นในกลุ่มธนาคาร
สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 19-23 มี.ค. 2555 มองว่าดัชนีอาจแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยต้องจับตาผลการประชุมนโยบายอัตราดอกเบี้ยของทางการไทย รวมทั้งการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องชี้ตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งนี้คาดว่าดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,170 และ 1,150 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,200 และ 1,230 จุด ตามลำดับ