ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ต้องออกตัวก่อนเลยว่า เป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับนโยบายปราบปรามยานรกของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างจริงจัง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า จะมีการเวียนเทียนจับยาเสพติดตามที่ถูกพรรคภูมิใจไทย ปรามาสไว้หรือไม่ และก็ไม่เห็นด้วยหากจะมีการฆ่าตัดตอน อย่างรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในอดีต
แต่ก็ต้องให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ทุกส่วน และจะดีใจมาก เมื่อเห็นข่าวว่าเจ้าหน้าที่ปลอดภัยกับการเข้าปราบยานรก
พอดีกับเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กับข่าว ครม.ไฟเขียวปูนบำเหน็จความชอบพิเศษให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด เกือบหมื่นคน ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ประธาน ป.ป.ส.) ไม่ลืมพวกท่าน
ครม.เห็นชอบ ตามข้อเสนอ “สารวัตรเหลิม” ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 เป็นกรณีพิเศษ ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีผลการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่นไม่เกินร้อยละ 2.5 ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง จำนวน 299,789 คน คิดเป็นอัตราไม่เกิน 7,494 คน
ให้พิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 เป็นกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีผลการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่นไม่เกินร้อยละ 0.5 ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด 431,118 คน คิดเป็นอัตราไม่เกิน 2,155 คน
รวมถึง ในกรณีของผู้ที่เงินเดือนเต็มขั้นให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตรวจดูแล้ว เจ้าหน้าที่กว่าหมื่นคน เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหายาเสพติดกระจายใน 8 กระทรวง 11 หน่วยงาน เช่น ตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1-9 เจ้าหน้าที่ปรามปรามยาเสพติด ทั้ง ปปส. หรือหน่วยงานอื่น ๆรวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารบางส่วน เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
ในห้องประชุม ครม.ร.ต.อ.เฉลิม ยังย้ำให้จับตาเฝ้าระวังเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่อาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการ ปล่อย หรือ กระจายสารตั้งต้นที่นำไปประกอบเป็นสารยาเสพติด และขอให้เป็นคดีสำคัญโดยจะให้กรมสอบสวน คดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เข้าไปดูแล
พูดเหมือนจะไม่เอาไว้แน่ กับเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่อาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปล่อย หรือ กระจายสารตั้งต้นที่นำไปประกอบเป็นสารยาเสพติด
พอดิบพอดีกับข่าว ของวันที่ 14 มี.ค. ที่ห้องประชุมกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร รัฐสภา นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธาน กมธ. คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภา ผู้แทนราษฎร ออกมาแถลงข่าวกรณีที่นายส่งเสริม แสงฤทธิ์ ผู้บิดา ได้เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อกรรมาธิการผ่าน นายฉลอง เรี่ยวแรง ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ปลายปี 2554
กรณีที่ “คุณบอล” นายไพโรจน์ แสงฤทธิ์ บุตรชาย ซึ่งเป็นวิศวกร จ.สกลนคร ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบยาเสพติด จ.สกลนครยิงเสียชีวิตและยัดยาบ้าโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม
คณะกรรมาธิการการตำรวจ ได้สรุปผลการประชุมทั้งสิ้น 4 ครั้งและลงพื้นที่เพื่อตรวจดูสถานที่เกิดเหตุ โดยมีการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาพิจารณาถึงเรื่องนี้ จึงได้ข้อสรุปว่า
1.เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุ ในการใช้อาวุธปืนยิงนายไพโรจน์ที่อยู่ในรถยนต์ โดยไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าเป็นรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับการะทำความผิดหรือไม่ ซึ่งการที่ ด.ต.สิทธิกุล กาติวงศ์ ใช้อาวุธปืนยืนไปที่รถยนต์ 2 นัด ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า อาจทำให้ผู้ที่อยู่ในรถถึงแก่ความตายหรือได้รับบาดเจ็บ พิจารณาจากจำนวนกระสุนที่ยิง วิถีกระสุนที่ยิง มุ่งให้เกิดการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ทั้งที่ยังไม่มีการต่อสู้ และไม่ปรากฏเลยว่าผู้ตายมีความผิดใดๆ
2.กรณียาบ้า พ่อผู้ตายได้ตรวจค้น 2 ครั้งแล้วไม่พบยาบ้า/พยาบาลยืนยันไม่พบสก๊อตเทป กาว ที่จะติดยาบ้าในกางเกงบ๊อกเซอร์/การยกผู้ตายขึ้นเปล ในแนวเอียง และเปลหลุดมือเจ้าหน้าที่ ครั้งไม่มีสิ่งใดหลุดล่วงออกมา /ยาบ้าไม่มีคราบเมือก หรือบ่งบอกว่าหลุดมาจากทวาร/ หากผู้ตายหนีบยาบ้าไว้ในโคนขาหนีบ เมื่อถูกยิงเส้นกล้ามเนื้อจะคลายออก ซึ่งจะทำให้วัตถุร่วงลงได้ แต่ทั้งหมดไม่มีเลย กลับไปพบในบ๊อกเซอร์ ทั้งหมดเชื่อได้ว่า เป็นการยัดยาบ้า
ทางคณะกรรมาธิการยังไม่เชื่อว่ายาบ้าจำนวน 198 เม็ด ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าพบจากบริเวณศพของนายไพโรจน์จะเป็นของนายไพโรจน์จริง เนื่องจากในวันที่เสียชีวิตนายไพโรจน์ ได้มีการตรวจดูทรัพย์สินของผู้ตายถึงสองครั้ง โดยละเอียดแต่ก็ไม่พบ และหากยาบ้าดังกล่าวอยู่ในร่างกายของผู้ตาย ยาบ้าที่ถูกห่อด้วยถุงพลาสติดสีดำ ก็จะต้องมีคราบอุจจาระ หรือคราบเมือกจากร่างกายปรากฎให้เห็นด้วย นอกจากนี้การเคลื่อนย้ายผู้ตายจากจุดเกิดเหตุ หากมียาบ้าอยู่จริง วัตถุดังกล่าวที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในก็น่าจะตกหล่นลงมา
คณะกรรมาธิการเห็นควรแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)ต่อไป และขอให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำชับการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจะต้องยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม หลักมนุษยชน อย่างเคร่งครัด ต้องยึดหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ และต้องยอมรับการตรวจสอบจากทุกภาคส่วน รวมถึงสื่อมวลชนด้วย และส่งผลต่อให้ครอบครัว เพื่อประกอบการฟ้องร้องต่อศาล
เรื่องนี้มีการตอบโต้กับเยอะ โดยเฉพาะจากคำพูดของ รองนายกฯท่านนี้ ระหว่างพูดในการประชุมเน้นย้ำ นโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติด ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ.2555 ที่จ.เชียงราย ตอนหนึ่งว่า
“สุดท้ายคนร้ายต่อสู้ ตำรวจก็ยิงไปนัดเดียวครับ ไปโดนคนร้ายตาย” ส่วนสื่อที่เสนอข่าวก็“ต้องการสร้างข่าว เก่ง อวดดี แล้วต่อมาก็จะมาร้องผม ผมบอกผมไม่โง่หรอก โง่เป็นด็อกเตอร์ไม่ได้...”
เรื่องนี้จะจบอย่างไรก็ตาม คนผิดจะเป็นตำรวจตามที่กรรมาธิการชี้ออกมาเช่นนี้หรือไม่ แต่ที่น่าสนใจ หากตำรวจผิดจริง การที่ กมธ.จะส่งผลการพิจารณาต่อครอบครัว เพื่อประกอบการฟ้องร้องต่อศาล ก็จะต้องให้ได้ค่าเยียวยา ที่เป็นธรรมด้วย
หรือญาติผู้เสียชีวิต ก็คงหวังว่า ไม่อยากปล่อยให้คนชั่วลอยนวล หรือแค่หวังให้ตำรวจหรือร.ต.อ.เฉลิมออกมาขอโทษบ้างก็ยังดี.
คำถามจากโลกโซเชียล เน็ตเวิร์ค
**ตำรวจชุดปราบยาเสพติด เข้าจับกุมและ ยิงหนุ่มวิศวกรตายคาที่ ทั้งที่เขาพึ่งลาพักร้อนกลับบ้านพร้อมแฟนสาว พี่ชายก็นั่งอยู่ในรถ กำลังจะไปกินข้าวที่ร้านอาหาร
**ตำรวจ 3 คนใส่ชุดลำลองยืนอยู่มืดๆ "ไม่แสดงตัว" แต่เปิดฉากยิงใส่รถผู้ตาย 3 นัดซ้อนจากด้านหลังรถ ระยะห่างออกไปราว 50 เมตร
**ผู้ตายที่เป็นคนขับรถพยายามขับรถหนีเอาชีวิตรอด โดยหนีเข้าไปในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มตำรวจก็ขับรถกระบะไม่ติดเครื่องหมาย ไล่ตามเข้าไป ผ่าน รปภ มหาวิทยาลัย ที่บันทึกกล้องวงจรปิดของมหาวิทยาลัยไว้ทั้งขาเข้า ขาออก
**ตำรวจสกลนคร เขายิงกะ "ตัดตอน" ก่อน ถามที่หลังอีกหรือนี่ ยิงกระจกเข้าตัวรถ ไม่ยิงยางเสียด้วย
** น้องสาวโทรเข้า 191 ขอความช่วยเหลือ และได้รับคำแนะนำให้เข้าไปที่ป้อมตำรวจแถวนั้น แต่กลับโดนตำรวจกลุ่มเดิมดักรอสกัดอยู่ได้ และยิงซ้ำกระสุนเข้าด้านข้างคนขับและประตูจนคนขับเสียชีวิต
**ตำรวจกลุ่มที่ยิงรู้ได้ยังไงว่าเขาจะขับเข้าไปตรงป้อมนั้น
**รถเสียหลักชนข้างทาง ผู้ตายโดนยิงจนเลือดออกจากปาก ตำรวจล้อมรถให้คนในรถออกมา น้องสาวกลัวตายคลานออกมา ร้องดังบอกว่า ยิงผิดตัว เพราะพึ่งมาจากกรุงเทพฯ ...........ตำรวจกลุ่มนั้นจึงชะงักไป (ไม่งั้น เออ .......อาจจะไม่ใช่ศพเดียว)
**พ่อและญาติผู้ตาย และเพื่อนที่ทำงานรวมกลุ่มกันไปร้องเรียนกับรองผู้ว่า
เรื่องที่น่าสังเกต
**ตอนรถพยาบาลส่งผู้ตายไปโรงพยาบาล ตำรวจไม่ให้แฟนสาวนั่งไปข้างหลังแต่ ตัวตำรวจดันไปนั่งข้างหลังกับผู้ตาย...............โอกาสยัดยาช่วงนี้แหละ
**ตำรวจกล่าวหาว่าผู้ตายค้ายาบ้า แต่ผู้ตายเป็นวิศวกรซ่อมบำรุง ทำงานโรงงานระยองที่ทำงานเป็นกะ และพึ่งลาพักร้อนกลับมา โดยหัวหน้าผู้ตายที่ไปงานศพยืนยันว่าผู้ตายแทบไม่ได้ลามานานแล้ว เป็นปีๆ เพราะโรงงานทำงาน 24 ชม.
**ไม่เคยกลับบ้าน มันจะค้ายาบ้าที่สกลนคร เมื่อเร็วๆ นี้ได้ยังไง ?
**ยาบ้าที่ตำรวจให้ "พ่อ" เข้าไปดูศพที่โรงพยาบาล .....ต้องให้พ่อเข้าไปถึง 3 รอบ แล้วบอกให้ "ดูดีๆ" อีกจึงเห็นห่อดำๆที่กางเกงใน ....ตำรวจแจ้งว่ามียาบ้า 199 เม็ด
........น่าจะให้นิติเวชตรวจลายมือที่ห่อย้าบ้า ดูซิว่ามีลายมือตำรวจในชุดนั้นด้วยหรือเปล่า (นี่ถ้ารู้จำนวนก่อนจะตรวจ คงมีฮา)
**ผู้บังคับการจังหวัดยศ พลตำรวจตรี (หน้าบวมๆ) บอกมีหลักฐาน จากคนค้ายาบ้าที่จับได้ ซัดทอดมาว่าผู้ตายเป็นคนค้ายาบ้า และมีตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติดสกลนคร "ชุดนี้ 5 คน" ให้รองผู้บังคับการเป็นประธานสอบสวน และ"ต้องใช้เวลาหาพยานหลักฐานนาน" เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา (ที่เป็นตำรวจ)
...........แวว มันออกตรงคำพูดนี่แหละ สอบอีกเท่าไรก็สอบไปนั้นแหละ