ASTVผู้จัดการรายวัน-เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ เผยทยอยปรับราคาสินค้าเพิ่มเฉลี่ย 3-5% จากต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังราคาน้ำมันพุ่ง เตรียมย้ายเตาเผาโรงงานแก้วเพื่อใช้ก๊าซธรรมชาติแทนแอลพีจีลดต้นทุน หวังรักษามาร์จิ้นปีนี้ที่ 26.4% พร้อมตั้งเป้ารายได้โต 20% จากปี54 ที่ทำไว้ 3.12 หมื่นล้านบาท คาดใช้เงินลงทุนปีนี้ 3 พันล้านบาท ไม่รวมการเข้าเทกโอเวอร์
นางสาวสุทธิภา วัชโรทยากูร ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการลงทุน บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BJC เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มทยอยปรับราคาสินค้าในปีนี้เฉลี่ย 3-5% จากต้นทุนราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามภาวะของราคาน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้นนั้นบริษัทได้ติดตามอย่างใกล้ชิดและบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงน้ำมันและพยามควบคุมราคาให้ดีที่สุด ซึ่งจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นนั้นบริษัทมีแผนที่จะย้ายเตาเผาโรงงานขวดที่ราชบูรณะไปสระบุรี เพื่อจะใช้ก๊าชธรมชาติแทน โดยบริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ให้อยู่ระดับ 26.4%
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลทุนปีนี้ 3 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมการเข้าซื้อกิจการเพิ่ม โดยงบลงทุนดังกล่าว แบ่งเป็นการลงทุนในโรงงานผลิตกระป๋องในเวียดนาม ที่จะเริ่มผลิตในเดือนพฤษภาคมนี้ 1.5 พันล้านบาท และอีก 1.5 พันล้านบาท จะใช้ลงทุนในการย้ายเตาเผาผลิตแก้วจากโรงงานที่ราษฎร์บูรณะไปที่ จ.สระบุรี 1 เตา โดยแหล่งเงินทุนมาจากระแสเงินสดของบริษัท
สำหรับ การเข้าไปซื้อกิจการนั้นขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนแผนการเข้าไปซื้อหุ้นบริษัทที่ประกอบธุรกจิกระจายสินค้าในเวียดนามขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนในการออกหุ้นกู้ ซึ่งขึ้นอยู่กับแผนการใช้เงินลงทุนของบริษัท
นางสาวสุทธิภา กล่าวว่า ปีนี้บริษัทคาดรายได้รวม 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3.12 หมื่นล้านบาท โดยรายได้หลักจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งปีนี้บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากโรงงานผลิตกระป๋องที่เวียดนาม และ ธุรุกิจอื่นมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ไม่ว่าธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจเวชภัณฑ์และเทคนิค และ ยังรับรู้รายได้จาก Asia Book เต็มปีจากปีก่อนที่รับรู้เพียงครึ่งปี ซึ่งทิศทางการใช้จ่ายของประชาชนช่วงไตรมาส1/55 อยู่ในระดับที่ดี โดยกำลังการซื้อในสินค้าอุปโภคและบริโภค สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเวชภัณฑ์มีการกลับมาดีขึ้น
ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีนิติบุคคล จาก 30 % เป็น 23% นั้น ทำให้บริษัทลดภาระการจ่ายภาษีไป 77 ล้านบาท ซึ่งในปี 56 ที่รัฐบาลจะปรับลดเหลือ 20% ก็จะส่งผลดีกับทางบริษัทด้วย ขณะที่บริษัทยังคงรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลของบริษัทไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
นางสาวสุทธิภา วัชโรทยากูร ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการลงทุน บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BJC เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มทยอยปรับราคาสินค้าในปีนี้เฉลี่ย 3-5% จากต้นทุนราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามภาวะของราคาน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้นนั้นบริษัทได้ติดตามอย่างใกล้ชิดและบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงน้ำมันและพยามควบคุมราคาให้ดีที่สุด ซึ่งจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นนั้นบริษัทมีแผนที่จะย้ายเตาเผาโรงงานขวดที่ราชบูรณะไปสระบุรี เพื่อจะใช้ก๊าชธรมชาติแทน โดยบริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ให้อยู่ระดับ 26.4%
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลทุนปีนี้ 3 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมการเข้าซื้อกิจการเพิ่ม โดยงบลงทุนดังกล่าว แบ่งเป็นการลงทุนในโรงงานผลิตกระป๋องในเวียดนาม ที่จะเริ่มผลิตในเดือนพฤษภาคมนี้ 1.5 พันล้านบาท และอีก 1.5 พันล้านบาท จะใช้ลงทุนในการย้ายเตาเผาผลิตแก้วจากโรงงานที่ราษฎร์บูรณะไปที่ จ.สระบุรี 1 เตา โดยแหล่งเงินทุนมาจากระแสเงินสดของบริษัท
สำหรับ การเข้าไปซื้อกิจการนั้นขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนแผนการเข้าไปซื้อหุ้นบริษัทที่ประกอบธุรกจิกระจายสินค้าในเวียดนามขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนในการออกหุ้นกู้ ซึ่งขึ้นอยู่กับแผนการใช้เงินลงทุนของบริษัท
นางสาวสุทธิภา กล่าวว่า ปีนี้บริษัทคาดรายได้รวม 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3.12 หมื่นล้านบาท โดยรายได้หลักจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งปีนี้บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากโรงงานผลิตกระป๋องที่เวียดนาม และ ธุรุกิจอื่นมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ไม่ว่าธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจเวชภัณฑ์และเทคนิค และ ยังรับรู้รายได้จาก Asia Book เต็มปีจากปีก่อนที่รับรู้เพียงครึ่งปี ซึ่งทิศทางการใช้จ่ายของประชาชนช่วงไตรมาส1/55 อยู่ในระดับที่ดี โดยกำลังการซื้อในสินค้าอุปโภคและบริโภค สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเวชภัณฑ์มีการกลับมาดีขึ้น
ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีนิติบุคคล จาก 30 % เป็น 23% นั้น ทำให้บริษัทลดภาระการจ่ายภาษีไป 77 ล้านบาท ซึ่งในปี 56 ที่รัฐบาลจะปรับลดเหลือ 20% ก็จะส่งผลดีกับทางบริษัทด้วย ขณะที่บริษัทยังคงรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลของบริษัทไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ