ASTVผู้จัดการรายวัน – “โคคา-โคลา” เตรียมทุ่มอีก 600 ล้านบาท ลงทุนโรงงานไลน์ผลิตระบบไนโตรฮอทฟิล รับแบรนด์มินิทเมดพุ่ง เปิดเซ็กเม้นต์ใหม่ “นมผสมน้ำผลไม้” ปั้น “นิวทริบู๊สท์” หวังโกย 1,000 ล้านบาทใน 2 ปี ตามตัวพี่สแปลชกับพัลพิที่ทะลุ 2,000 ล้านบาทไปแล้ว ด้วยงบตลาดรวม 650 ล้านบาท
นายเรฮาน คาน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจประจำประเทศไทย บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด และ นายชาญวิทย์ ชรินธร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโ ส กลุ่มพัฒนากลุ่มสินค้าและธุรกิจใหม่ บริษัท ไทยน้ำททิพย์ จำกัด ร่วมกันเปิดเผยว่า กลุ่มโคคา-โคลาในไทยมีแผนที่จะลงทุน 600 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องดื่ม มินิทเมด ในระบบเทคโนโลยีขั้นสูงไนโตรฮอทฟิล คาดว่าในปลายปีนี้จะสามารถดำเนินการได้ หลังจากที่ได้ลงทุนระบบนี้มาแล้วเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาด้วยงบลงทุน 600 ล้านบาทเช่นกัน
การเพิ่มกำลังการผลิตนี่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเการผลักดันยอดขาย มินิทเมด สแปลช และมินิทเมดพัลพิ ให้เติบโต 20% ต่อปี จากยอดขายปัจจุบันรวม 2,000 ล้านบาทแล้ว โดยมียอดขายอย่างละ 1,000 ล้านบาทใกล้เคียงกัน รวมทั้งรองรับเป้าหมายยอดขายตัวใหม่คือ มินิทเมดนิวทริบู๊สท์ เครื่องดื่มนมผผสมน้ำผลไม้ซึ่งเป็นเซ็กเม้นต์ใหม่ อีก 1,000 ล้านบาทภายใน 2 ปีจากนี้
นายเรฮาน กล่าวว่า มินิทเมด นิวทริบู๊สท์ เป็นเซ็กเม้นต์ใหมคือเครื่องดื่มนมผสมน้ำผลไม้ ยังไม่มีในตลาดไทย โดยกลุ่มโคคา-โคลาในไทยใช้เวลา 2 ปีในการพัฒนาในไทย ด้วนการนำนมและน้ำผลไม้ผสมเข้าด้วยกัน ซึ่งหลังจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคหลังทดลองดื่มแล้วพบว่า 99% ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ และ 94% บอกว่าจะซื้อดื่ม ซึ่งเป็นอัตราสูงที่สุดที่กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาในเอเซียเคยมีมา โดยมี 2 รสชาติวางตลาดคือ รสส้มและรสสตรอเบอร์รี่ ในขวดพีอีที ขนาด 280 มล. ราคา 20 บาท จับกลุ่มเป้าหมายหลากหลายช่วงอายุ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย สามารถดื่มได้ทุกเวลาในช่วงวัน
ทั้งนี้ มินิทเมด นิวทริบู๊สท์ เป็นเครื่องดื่มที่กลุ่มโคคา-โคลาเปิดตัวประมาณ 2 ปี มีจำหน่ายแล้วใน 4 ประเทศ เริ่มต้นที่ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และไทยเป็นประเทศที่สี่
“มินิทเมด ในไทย ถือเป็นแบรนด์ที่อยู่ในช่วงของการเติบโตหรือที่เรียกว่า Early Stage แม้จะเป็นตัวที่ทำรายได้รวมให้กับกลุ่มโคคา-โคลาในไทยด้วยสัดส่วน 10% เพราะเริ่มในไทยเมื่อปี 2548 แต่ในระดับโลกแล้วแบรนด์นี้มีการเติบโตอย่างมาก และมีรายได้สูงทีเดียว”
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า ยอมรับว่าการสร้างเซ็กเม้นต์ใหม่นั้นยาก แต่เราก็เตรียมงบประมาณ 150 ล้านบาทในการทำตลาดทุกรูปแบบทั้งบีโลวืเดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์ ตลอดทั้งปีนี้ ภายใต้แคมเปญ The Perfect Match ทั้งหนังโฆษณา กิจกรรมส่งเสริมการขาย สื่อโฆษณา บิลบอร์ด แคมเปญการสร้างการรับรู้ผ่านสื่อดิจิตอล การแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์กว่า 3 ล้านถ้วยในปีนี้
อย่างไรก็ตาม อีก 2 ตัวคือ มินิทเมดสแปลชและมินิทเมดพัลพิ ยังจะใช้งบตลาดรวมอีกกว่า 500 ล้านบาทในการทำตลาดปีนี้ด้วย
นายเรฮาน คาน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจประจำประเทศไทย บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด และ นายชาญวิทย์ ชรินธร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโ ส กลุ่มพัฒนากลุ่มสินค้าและธุรกิจใหม่ บริษัท ไทยน้ำททิพย์ จำกัด ร่วมกันเปิดเผยว่า กลุ่มโคคา-โคลาในไทยมีแผนที่จะลงทุน 600 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องดื่ม มินิทเมด ในระบบเทคโนโลยีขั้นสูงไนโตรฮอทฟิล คาดว่าในปลายปีนี้จะสามารถดำเนินการได้ หลังจากที่ได้ลงทุนระบบนี้มาแล้วเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาด้วยงบลงทุน 600 ล้านบาทเช่นกัน
การเพิ่มกำลังการผลิตนี่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเการผลักดันยอดขาย มินิทเมด สแปลช และมินิทเมดพัลพิ ให้เติบโต 20% ต่อปี จากยอดขายปัจจุบันรวม 2,000 ล้านบาทแล้ว โดยมียอดขายอย่างละ 1,000 ล้านบาทใกล้เคียงกัน รวมทั้งรองรับเป้าหมายยอดขายตัวใหม่คือ มินิทเมดนิวทริบู๊สท์ เครื่องดื่มนมผผสมน้ำผลไม้ซึ่งเป็นเซ็กเม้นต์ใหม่ อีก 1,000 ล้านบาทภายใน 2 ปีจากนี้
นายเรฮาน กล่าวว่า มินิทเมด นิวทริบู๊สท์ เป็นเซ็กเม้นต์ใหมคือเครื่องดื่มนมผสมน้ำผลไม้ ยังไม่มีในตลาดไทย โดยกลุ่มโคคา-โคลาในไทยใช้เวลา 2 ปีในการพัฒนาในไทย ด้วนการนำนมและน้ำผลไม้ผสมเข้าด้วยกัน ซึ่งหลังจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคหลังทดลองดื่มแล้วพบว่า 99% ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ และ 94% บอกว่าจะซื้อดื่ม ซึ่งเป็นอัตราสูงที่สุดที่กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาในเอเซียเคยมีมา โดยมี 2 รสชาติวางตลาดคือ รสส้มและรสสตรอเบอร์รี่ ในขวดพีอีที ขนาด 280 มล. ราคา 20 บาท จับกลุ่มเป้าหมายหลากหลายช่วงอายุ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย สามารถดื่มได้ทุกเวลาในช่วงวัน
ทั้งนี้ มินิทเมด นิวทริบู๊สท์ เป็นเครื่องดื่มที่กลุ่มโคคา-โคลาเปิดตัวประมาณ 2 ปี มีจำหน่ายแล้วใน 4 ประเทศ เริ่มต้นที่ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และไทยเป็นประเทศที่สี่
“มินิทเมด ในไทย ถือเป็นแบรนด์ที่อยู่ในช่วงของการเติบโตหรือที่เรียกว่า Early Stage แม้จะเป็นตัวที่ทำรายได้รวมให้กับกลุ่มโคคา-โคลาในไทยด้วยสัดส่วน 10% เพราะเริ่มในไทยเมื่อปี 2548 แต่ในระดับโลกแล้วแบรนด์นี้มีการเติบโตอย่างมาก และมีรายได้สูงทีเดียว”
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า ยอมรับว่าการสร้างเซ็กเม้นต์ใหม่นั้นยาก แต่เราก็เตรียมงบประมาณ 150 ล้านบาทในการทำตลาดทุกรูปแบบทั้งบีโลวืเดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์ ตลอดทั้งปีนี้ ภายใต้แคมเปญ The Perfect Match ทั้งหนังโฆษณา กิจกรรมส่งเสริมการขาย สื่อโฆษณา บิลบอร์ด แคมเปญการสร้างการรับรู้ผ่านสื่อดิจิตอล การแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์กว่า 3 ล้านถ้วยในปีนี้
อย่างไรก็ตาม อีก 2 ตัวคือ มินิทเมดสแปลชและมินิทเมดพัลพิ ยังจะใช้งบตลาดรวมอีกกว่า 500 ล้านบาทในการทำตลาดปีนี้ด้วย