กลุ่มคอนดิชั่นเนอร์และทรีทเม้นท์บูม ชี้เทรนด์ปีนี้แข่งขันดุมุ่งสร้างความเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ แบรนด์ซาลอนกระโดดร่วมชิงเค้ก 13,000 ล้านบาท “แพนทีน” เดินหน้าชูนวัตกรรมเพื่อเส้นผมสุขภาพดีระยะยาว มั่นใจสิ้นปีเติบโตต่อเนื่องเช่นปีก่อน หลัง 2ปีที่ผ่านมาเติบโตเป็น 2 เท่าของตลาด
นายวรศิษย์ ตุรงค์สมบูรณ์ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ ประจำประเทศไทย บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม แบรนด์ แพนทีน กล่าวว่า ภาพรวมตลาดแฮร์แคร์มูลค่า 13,000 กว่าล้านบาท ปีที่แล้วโตเพียง 3% เพราะมีฐานตลาดขนาดใหญ่ขึ้น
โดยกลุ่มยาสระผมที่มีสัดส่วนราว 9,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 100 กว่าล้านบาท ถือว่าเติบโตค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับกลุ่มคอนดิชั่นเนอร์และทรีทเม้นท์ที่มีมูลค่า 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 300 ล้านบาท เติบโตดีมากช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
สถานการณ์การแข่งขันกลุ่มแฮร์แคร์ปีนี้ จะได้เห็นผู้เล่นเกือบทุกรายหันมาโฟกัสการทำตลาดในส่วนของคอนดิชั่นเนอร์และทรีทเม้นท์มากยิ่งขึ้น เชื่อว่านอกจากจะทำให้ตลาดเติบโตขึ้น ยังดึงนักลงทุนเข้ามาในตลาดนี้อีกมาก ซึ่งเห็นได้ว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ในเซกเม้นท์พรีเมี่ยมจะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่ากลุ่มแมส
ผลมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจดูแลเส้นผมเช่นเดียวกันผิวพรรณ ส่งผลให้ปีนี้อาจได้เห็นผลิตภัณฑ์แฮร์แคร์ที่เป็นกลุ่มซาลอนเข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดยชูความเป็นพรีเมี่ยมเช่นเดียวกัน
ปีนี้แพนทีนโฟกัสการทำตลาด ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อเส้นผมสุขภาพดี ชูจุดขาย “บอกลาการแก้ปัญหาผมแบบชั่วคราว เพื่อผมสวย สุขภาพดียาวนานยิ่งขึ้น” ล่าสุดพัฒนา 3 สูตรใหม่ ได้แก่ สูตรโททัล แดมเมจ แคร์, สูตรแฮร์ ฟอล คอนโทรล และสูตรซิลกี้ สมูท แคร์ โดยใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ 3 คน คือ นัท-มีเรีย,นุ่น-วรนุช และรถเมล์-คะนึงนิจ เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เพื่อต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในทุกกลุ่มและทุกช่องทางการขาย ภายใต้งบการตลาดที่ใกล้เคียงปีก่อน แบ่งใช้สื่อดิจิตอลเพิ่มเป็น 15% จากปีก่อนใช้ไม่ถึง 10% สิ้นปีแพนทีนจะเติบโต 7% เท่าปีก่อน แต่เป็นโตเป็น 2 เท่าของตลาดรวม
ในปี2554 กลุ่มผลิตภัณฑ์แฮร์แคร์ แพนทีน มีส่วนแบ่ง 15.8% เพิ่มจากปี2553 อยู่ที่ 15.2% ส่วนเฮด แอนด์ โชว์เดอร์ มีส่วนแบ่ง 8.1% จาก 7.8%ในปี2553 รีจอยซ์ มีส่วนแบ่งที่ 6.7% จาก 7.0% ในปี2553 และเฮอร์เบิล เอสเซน มีส่วนแบ่ง 1% และเมื่อคิดเป็นคอร์ปอเรตแบรนด์แล้ว บริษัทมีแชร์อยู่ 32% จาก31.8% ในปี2553 ส่วนทางลีเวอร์นั้น พบว่ามีส่วนแบ่งอยู่ที่ 47% จากเดิม 48.7%จากปี2553 โดยซันซิลมีส่วนแบ่ง 23% จาก 24.5%, เคลียร์ มีส่วนแบ่ง 13.1% จาก13.6% โดฟมีส่วนแบ่ง 10.9% จาก 10.7% และลอรีอัลมีส่วนแบ่ง 4.9% จาก 3.2%
นายวรศิษย์ ตุรงค์สมบูรณ์ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ ประจำประเทศไทย บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม แบรนด์ แพนทีน กล่าวว่า ภาพรวมตลาดแฮร์แคร์มูลค่า 13,000 กว่าล้านบาท ปีที่แล้วโตเพียง 3% เพราะมีฐานตลาดขนาดใหญ่ขึ้น
โดยกลุ่มยาสระผมที่มีสัดส่วนราว 9,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 100 กว่าล้านบาท ถือว่าเติบโตค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับกลุ่มคอนดิชั่นเนอร์และทรีทเม้นท์ที่มีมูลค่า 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 300 ล้านบาท เติบโตดีมากช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
สถานการณ์การแข่งขันกลุ่มแฮร์แคร์ปีนี้ จะได้เห็นผู้เล่นเกือบทุกรายหันมาโฟกัสการทำตลาดในส่วนของคอนดิชั่นเนอร์และทรีทเม้นท์มากยิ่งขึ้น เชื่อว่านอกจากจะทำให้ตลาดเติบโตขึ้น ยังดึงนักลงทุนเข้ามาในตลาดนี้อีกมาก ซึ่งเห็นได้ว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ในเซกเม้นท์พรีเมี่ยมจะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่ากลุ่มแมส
ผลมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจดูแลเส้นผมเช่นเดียวกันผิวพรรณ ส่งผลให้ปีนี้อาจได้เห็นผลิตภัณฑ์แฮร์แคร์ที่เป็นกลุ่มซาลอนเข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดยชูความเป็นพรีเมี่ยมเช่นเดียวกัน
ปีนี้แพนทีนโฟกัสการทำตลาด ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อเส้นผมสุขภาพดี ชูจุดขาย “บอกลาการแก้ปัญหาผมแบบชั่วคราว เพื่อผมสวย สุขภาพดียาวนานยิ่งขึ้น” ล่าสุดพัฒนา 3 สูตรใหม่ ได้แก่ สูตรโททัล แดมเมจ แคร์, สูตรแฮร์ ฟอล คอนโทรล และสูตรซิลกี้ สมูท แคร์ โดยใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ 3 คน คือ นัท-มีเรีย,นุ่น-วรนุช และรถเมล์-คะนึงนิจ เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เพื่อต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในทุกกลุ่มและทุกช่องทางการขาย ภายใต้งบการตลาดที่ใกล้เคียงปีก่อน แบ่งใช้สื่อดิจิตอลเพิ่มเป็น 15% จากปีก่อนใช้ไม่ถึง 10% สิ้นปีแพนทีนจะเติบโต 7% เท่าปีก่อน แต่เป็นโตเป็น 2 เท่าของตลาดรวม
ในปี2554 กลุ่มผลิตภัณฑ์แฮร์แคร์ แพนทีน มีส่วนแบ่ง 15.8% เพิ่มจากปี2553 อยู่ที่ 15.2% ส่วนเฮด แอนด์ โชว์เดอร์ มีส่วนแบ่ง 8.1% จาก 7.8%ในปี2553 รีจอยซ์ มีส่วนแบ่งที่ 6.7% จาก 7.0% ในปี2553 และเฮอร์เบิล เอสเซน มีส่วนแบ่ง 1% และเมื่อคิดเป็นคอร์ปอเรตแบรนด์แล้ว บริษัทมีแชร์อยู่ 32% จาก31.8% ในปี2553 ส่วนทางลีเวอร์นั้น พบว่ามีส่วนแบ่งอยู่ที่ 47% จากเดิม 48.7%จากปี2553 โดยซันซิลมีส่วนแบ่ง 23% จาก 24.5%, เคลียร์ มีส่วนแบ่ง 13.1% จาก13.6% โดฟมีส่วนแบ่ง 10.9% จาก 10.7% และลอรีอัลมีส่วนแบ่ง 4.9% จาก 3.2%