00 เป็นเพราะอย่างนี้นี่เองที่ทำให้การเมืองไทยมันไม่พัฒนาไปถึงไหน ประเภทลูบหน้าปะจมูก หรือถนอมน้ำใจพวกเดียวกัน รวมไปถึงตัดสินด้วยความเกรงใจ ปล่อยให้เลยตามเลย แบบนี้แหละที่ไม่อาจค้นหาความจริง สร้างบรรทัดฐานได้สักที เหมือนกับที่เราเคยเห็นตำรวจจราจรไม่ใส่หมวกกันน็อก หรือตัวตำรวจใส่ แต่ลูกเมียนั่งมอเตอร์ไซต์ไม่ใส่ หรือบางวันก็ไม่ใส่ใจจับกุมคนที่ทำผิดกฎจราจร แต่วันดีคืนดีในสถานที่เดียวกัน แต่ต่างเวลากัน ก็เกิดอารมณ์ฮึดฮัดเอาจริงเอาจังหน้าตาเฉย มันก็ทำให้เกิดคำถามว่า “อะไรคือมาตรฐาน” หรือว่าเกิดขึ้นตามอำเภอใจของผู้รักษากฎหมายกันแน่
00 เหมือนกับเหตุผลของคณะผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่นำโดย ผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นประธาน ได้แถลงหลังจากตรวจสอบ นลินี ทวีสิน รมต.ประจำสำนักนายกฯ กรณีที่ถูกทางการสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ อายัดทรัพย์สิน และห้ามเข้าประเทศ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ ที่ถูกดำเนินคดีร้ายแรง ฐานเป็นผู้ก่อการร้าย สรุปแบบ “รักษาน้ำใจ” พบกันครึ่งทางว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนได้รับแต่งตั้ง ให้ยุติการสอบสวน และได้ตักเตือน นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเลขาฯครม.อำพน กิตติอำพน มีความรอบคอบมากกว่าเดิม และต่อไปให้นำเรื่องจริยธรรมมาพิจารณาด้วย ทุกอย่างก็จบ ประชุมให้เปลืองค่าน้ำค่าไฟเปล่าๆ ไม่ได้อะไร ถ้าออกมาแบบนี้ทำไมไม่บอกว่าไม่ผิดกันไปเลย หมดเรื่องหมดราว
00 ก็เพราะเป็นแบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้ “สำนึก”ด้านจริยธรรมของนักการเมืองไทย ล้มเหลว ไม่เคยเป็นแก่นสาร เป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นได้เลย การที่ผู้ตรวจฯ ระบุว่าการแต่งตั้งคนแบบนี้เข้ามาทำให้เสียเกียรติภูมิของชาติ ขาดความน่าเชื่อถือ มันก็เป็นภาพสะท้อนที่ “ขัดแย้งกันเอง” ไม่เอาอะไรสักอย่าง กล้าๆ กลัวๆ เกรงใจไม่เข้าเรื่อง ทั้งที่เรื่องจริยธรรมมันสูงกว่าข้อบังคับทางกฎหมาย แต่ก็ไม่เคยสำนึก ซึ่งมันจะไปต่างอะไรกับคำพูดของ เฉลิม อยู่บำรุง ที่มั่นใจว่า “เมาเหล้า ไม่ผิดจริยธรรม” นั่นแหละ ทุด !!
00 อ้างว่าการเดินทางไปญี่ปุ่นของ นายกฯปูนิ่ม เพื่อไปสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ไม่ให้ย้ายฐานการลงทุนออกไปจากประเทศไทย ขณะเดียวกันก็เชิญชวนให้มาลงทุนเพิ่มขึ้นอีก ไม่ต้องหวาดผวากับเรื่องน้ำท่วมใหญ่เหมือนปีก่อนอีก ซึ่งก็คงท่องกันไปตามบทที่เขียนกันเอาไว้ล่วงหน้า และเที่ยวนี้คงไม่ต้องใจหายใจคว่ำกับเรื่องภาษาอังกฤษเหมือนก่อน เพราะที่โน่นเขาเน้นแต่ภาษาถิ่น ก็ดีไปอย่าง แต่ก็ยังห่วงอยู่ดี ตอนที่ตอบคำถามสดๆ นี่สิจะว่าไง เพราะประเภทที่ว่า “ได้สั่งการให้ รมต.คนนั้นคนนี้ดูแลแล้ว” หรือว่าเป็นเรื่องสภา ก็คงไม่ได้ เขาต้องการวิสัยทัศน์ ไม่ใช่ “หนูไม่รู้” หรือไปเดินแฟชั่นถูกวิจารณ์กันขรมเหมือนก่อนอีก
00 อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการเดินทางไปเที่ยวนี้แม้ว่าจะมีการปฏิเสธเสียงแข็งเช่นเคยว่าไม่ได้ “แอบนัด” กับ ทักษิณ ชินวัตร ที่บังเอิญว่า มีกำหนดการมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นพอดี อาจจะเป็นที่เกาหลี หรือในที่ไหนสักแห่ง โดยเฉพาะญี่ปุ่นหลังจาก “อ้ายปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมต.ทำหน้าที่แค่ปั๊มหนังสือเดินทางส่วนตัว วิ่งเต้นเรื่องขอวีซ่าผ่านไปแล้วก็เข้าออกได้สะดวก และเชื่อขนมกินได้เลยว่า ต้องพบกันเพื่อ “ติวเข้ม” กันหลายเรื่องแน่นอน ทั้งเรื่องค่าครองชีพที่กำลังพุ่งกระฉูดกลายเป็น “จุดตาย” อยู่ในเวลานี้ และเรื่อง รธน. ที่กำลังเดินหน้าเต็มพิกัด พลาดไม่ได้เลย !!
00 เหมือนกับเหตุผลของคณะผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่นำโดย ผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นประธาน ได้แถลงหลังจากตรวจสอบ นลินี ทวีสิน รมต.ประจำสำนักนายกฯ กรณีที่ถูกทางการสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ อายัดทรัพย์สิน และห้ามเข้าประเทศ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ ที่ถูกดำเนินคดีร้ายแรง ฐานเป็นผู้ก่อการร้าย สรุปแบบ “รักษาน้ำใจ” พบกันครึ่งทางว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนได้รับแต่งตั้ง ให้ยุติการสอบสวน และได้ตักเตือน นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเลขาฯครม.อำพน กิตติอำพน มีความรอบคอบมากกว่าเดิม และต่อไปให้นำเรื่องจริยธรรมมาพิจารณาด้วย ทุกอย่างก็จบ ประชุมให้เปลืองค่าน้ำค่าไฟเปล่าๆ ไม่ได้อะไร ถ้าออกมาแบบนี้ทำไมไม่บอกว่าไม่ผิดกันไปเลย หมดเรื่องหมดราว
00 ก็เพราะเป็นแบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้ “สำนึก”ด้านจริยธรรมของนักการเมืองไทย ล้มเหลว ไม่เคยเป็นแก่นสาร เป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นได้เลย การที่ผู้ตรวจฯ ระบุว่าการแต่งตั้งคนแบบนี้เข้ามาทำให้เสียเกียรติภูมิของชาติ ขาดความน่าเชื่อถือ มันก็เป็นภาพสะท้อนที่ “ขัดแย้งกันเอง” ไม่เอาอะไรสักอย่าง กล้าๆ กลัวๆ เกรงใจไม่เข้าเรื่อง ทั้งที่เรื่องจริยธรรมมันสูงกว่าข้อบังคับทางกฎหมาย แต่ก็ไม่เคยสำนึก ซึ่งมันจะไปต่างอะไรกับคำพูดของ เฉลิม อยู่บำรุง ที่มั่นใจว่า “เมาเหล้า ไม่ผิดจริยธรรม” นั่นแหละ ทุด !!
00 อ้างว่าการเดินทางไปญี่ปุ่นของ นายกฯปูนิ่ม เพื่อไปสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ไม่ให้ย้ายฐานการลงทุนออกไปจากประเทศไทย ขณะเดียวกันก็เชิญชวนให้มาลงทุนเพิ่มขึ้นอีก ไม่ต้องหวาดผวากับเรื่องน้ำท่วมใหญ่เหมือนปีก่อนอีก ซึ่งก็คงท่องกันไปตามบทที่เขียนกันเอาไว้ล่วงหน้า และเที่ยวนี้คงไม่ต้องใจหายใจคว่ำกับเรื่องภาษาอังกฤษเหมือนก่อน เพราะที่โน่นเขาเน้นแต่ภาษาถิ่น ก็ดีไปอย่าง แต่ก็ยังห่วงอยู่ดี ตอนที่ตอบคำถามสดๆ นี่สิจะว่าไง เพราะประเภทที่ว่า “ได้สั่งการให้ รมต.คนนั้นคนนี้ดูแลแล้ว” หรือว่าเป็นเรื่องสภา ก็คงไม่ได้ เขาต้องการวิสัยทัศน์ ไม่ใช่ “หนูไม่รู้” หรือไปเดินแฟชั่นถูกวิจารณ์กันขรมเหมือนก่อนอีก
00 อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการเดินทางไปเที่ยวนี้แม้ว่าจะมีการปฏิเสธเสียงแข็งเช่นเคยว่าไม่ได้ “แอบนัด” กับ ทักษิณ ชินวัตร ที่บังเอิญว่า มีกำหนดการมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นพอดี อาจจะเป็นที่เกาหลี หรือในที่ไหนสักแห่ง โดยเฉพาะญี่ปุ่นหลังจาก “อ้ายปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมต.ทำหน้าที่แค่ปั๊มหนังสือเดินทางส่วนตัว วิ่งเต้นเรื่องขอวีซ่าผ่านไปแล้วก็เข้าออกได้สะดวก และเชื่อขนมกินได้เลยว่า ต้องพบกันเพื่อ “ติวเข้ม” กันหลายเรื่องแน่นอน ทั้งเรื่องค่าครองชีพที่กำลังพุ่งกระฉูดกลายเป็น “จุดตาย” อยู่ในเวลานี้ และเรื่อง รธน. ที่กำลังเดินหน้าเต็มพิกัด พลาดไม่ได้เลย !!
