ASTVผู้จัดการรายวัน - เคทีซีเดินหน้าแผนลดต้นทุน หวังปลายปีลดเหลือ 40%ระดับเดียวอุตสาหกรรม พร้อมเจาะกลุ่มขรก.หลังปรับเงินเดือนขั้นต่ำเป็น 15,000 บาท หวังพลิกฟื้นกำไรได้ในไตรมาส 2
นายระเฑียร ศรีมงคง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)(KTC) เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ จะเน้นการควบคุมต้นทุนของบริษัทให้ลงมาอยู่ในระดับเดียวกับอุตสาหกรรมที่ 40% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 46% โดยการดึงงานที่เคยว่าจ้างองค์กรภายนอกกลับมาบริหาร เพื่อความคล่องตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ได้แก่ ระบบควบคุมความเสี่ยงด้านเครดิต งานติดตามหนี้ ฝ่ายบริการลูกค้า รวมทั้งเน้นการฝึกอบรมพนักงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปัจจุบันได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว อาทิ ส่วนของการติดตามหนี้ได้เข้าไปดูแลและคาดว่าจะโอนย้ายเสร็จสิ้นในเดือนพ.ค.หรือมิ.ย.นี้
"เราจะพยายามลดต้นทุนในทุกๆทาง ที่ไม่ใช่ส่วนการปรับลดพนักงานหรืองบการตลาด แต่จะใช้การเพิ่มผลการผลิต การปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็จะเป็นส่วนที่ช่วยทำให้ต้นทุนลดได้เช่นกัน"
นอกจากนี้ บริษัทจะเพิ่มความร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกรุงไทยซึ่งมีฐานลูกค้าเป็นข้าราชการจำนวนมาก และเมื่อมีการปรับเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำเป็น 15,000 บาท ก็จะทำให้บริษัทสามารถมีลูกค้าเพิ่มอีกระดับหนึ่ง รวมถึงพันธมิตรรายอื่น อาทิ เจบีซี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุดขึ้น รวมถึงบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ให้ปรับลดลงจากสิ้นปี 54 ที่อยู่ในระดับ 3.9% ก็จะทำให้บริษัทควบคุมต้นทุนได้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนด้านรายได้นั้น ปีนี้ตั้งเป้าเติบโตที่ระดับ 10% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มากนัก เนื่องจากจะเน้นในด้านควบคุมต้นทุนมากกว่า
นายระเฑียรกล่าวอีกว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทจะยังมีผลขาดทุนอยู่ เนื่องจากยังรับผลความเสียหายจากอุทกภัย แต่หากบริษัททำตามแผนงานที่วางไว้ได้ เชื่อว่าในไตรมาส 2 ของปีนี้จะกลับมามีผลการดำเนินงานเป็นกำไร และหากภายในเดือนธ.ค.นี้ปีนี้ปรับลดต้นทุนลงได้ตามลำดับที่ตั้งไว้ คือเหลือ 40% ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2556 เนื่องจาก หากลดต้นทุนลงได้ 1% จะคิดเป็นมูลค่า 100 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุงสุดของบริษัทอยู่ที่ระดับ 650 ล้านบาท และจะขึ้นแท่นอันดับ 1 บัตรเครดิตในปี 2557
"แผนที่วางไว้จะเป็นลำดับขั้น คือหากทำตามเป้าหมายในขั้นที่ 1 ก็จะทำขั้น 2 ขั้น 3 หรือ 4 ได้ไปตามลำดับ ซึ่งตามแผนธุรกิจในปีนี้ได้รวมความไม่แน่นอนในเรื่องของอุทกภัยไว้แล้ว ส่วนแผนการระดมเงินทุนนั้น บริษัทยังไม่มีแผนออกหุ้นกู้ในขณะที่ยังมีผลการดำเนินงานขาดทุน และปัจจุบันก็ยังมีวงเงินเหลือจากธนาคารที่ขอไว้อยู่ จึงยังมีเงินทุนเพียงพอต่อการดำเนินงานอยู่"
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2554 ที่ผ่านมา บริษัทผลขาดทุนสุทธิ 1,621 ล้านบาท จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การตั้งสำรองหนี้เพิ่มเติมอรก 633 ล้านบาท เพื่อรองรับความเสียหายจากลูกค้าที่ประสบปัญหาน้ำท่วม การตั้งสำรองเพิ่มพิเศษ เพื่อรองรับการแลกสิทธิประโยชน์ของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี – รอยัล ออร์คิด พลัส จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการตลาด โดยเปลี่ยนไมล์สะสมให้เป็นคะแนนสะสม KTC Forever Rewards แทนอีก 838 ล้านบาท และมาตรการของรัฐที่ลดอัตราภาษีจาก 30% เหลือ 23% และ 20% ในปี 2555 และ 2556 ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลให้ในปีนี้มูลค่าภาษีเงินได้รอตัดบัญชีติดลบ 404 ล้านบาท
นายระเฑียร ศรีมงคง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)(KTC) เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ จะเน้นการควบคุมต้นทุนของบริษัทให้ลงมาอยู่ในระดับเดียวกับอุตสาหกรรมที่ 40% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 46% โดยการดึงงานที่เคยว่าจ้างองค์กรภายนอกกลับมาบริหาร เพื่อความคล่องตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ได้แก่ ระบบควบคุมความเสี่ยงด้านเครดิต งานติดตามหนี้ ฝ่ายบริการลูกค้า รวมทั้งเน้นการฝึกอบรมพนักงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปัจจุบันได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว อาทิ ส่วนของการติดตามหนี้ได้เข้าไปดูแลและคาดว่าจะโอนย้ายเสร็จสิ้นในเดือนพ.ค.หรือมิ.ย.นี้
"เราจะพยายามลดต้นทุนในทุกๆทาง ที่ไม่ใช่ส่วนการปรับลดพนักงานหรืองบการตลาด แต่จะใช้การเพิ่มผลการผลิต การปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็จะเป็นส่วนที่ช่วยทำให้ต้นทุนลดได้เช่นกัน"
นอกจากนี้ บริษัทจะเพิ่มความร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกรุงไทยซึ่งมีฐานลูกค้าเป็นข้าราชการจำนวนมาก และเมื่อมีการปรับเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำเป็น 15,000 บาท ก็จะทำให้บริษัทสามารถมีลูกค้าเพิ่มอีกระดับหนึ่ง รวมถึงพันธมิตรรายอื่น อาทิ เจบีซี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุดขึ้น รวมถึงบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ให้ปรับลดลงจากสิ้นปี 54 ที่อยู่ในระดับ 3.9% ก็จะทำให้บริษัทควบคุมต้นทุนได้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนด้านรายได้นั้น ปีนี้ตั้งเป้าเติบโตที่ระดับ 10% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มากนัก เนื่องจากจะเน้นในด้านควบคุมต้นทุนมากกว่า
นายระเฑียรกล่าวอีกว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทจะยังมีผลขาดทุนอยู่ เนื่องจากยังรับผลความเสียหายจากอุทกภัย แต่หากบริษัททำตามแผนงานที่วางไว้ได้ เชื่อว่าในไตรมาส 2 ของปีนี้จะกลับมามีผลการดำเนินงานเป็นกำไร และหากภายในเดือนธ.ค.นี้ปีนี้ปรับลดต้นทุนลงได้ตามลำดับที่ตั้งไว้ คือเหลือ 40% ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2556 เนื่องจาก หากลดต้นทุนลงได้ 1% จะคิดเป็นมูลค่า 100 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุงสุดของบริษัทอยู่ที่ระดับ 650 ล้านบาท และจะขึ้นแท่นอันดับ 1 บัตรเครดิตในปี 2557
"แผนที่วางไว้จะเป็นลำดับขั้น คือหากทำตามเป้าหมายในขั้นที่ 1 ก็จะทำขั้น 2 ขั้น 3 หรือ 4 ได้ไปตามลำดับ ซึ่งตามแผนธุรกิจในปีนี้ได้รวมความไม่แน่นอนในเรื่องของอุทกภัยไว้แล้ว ส่วนแผนการระดมเงินทุนนั้น บริษัทยังไม่มีแผนออกหุ้นกู้ในขณะที่ยังมีผลการดำเนินงานขาดทุน และปัจจุบันก็ยังมีวงเงินเหลือจากธนาคารที่ขอไว้อยู่ จึงยังมีเงินทุนเพียงพอต่อการดำเนินงานอยู่"
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2554 ที่ผ่านมา บริษัทผลขาดทุนสุทธิ 1,621 ล้านบาท จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การตั้งสำรองหนี้เพิ่มเติมอรก 633 ล้านบาท เพื่อรองรับความเสียหายจากลูกค้าที่ประสบปัญหาน้ำท่วม การตั้งสำรองเพิ่มพิเศษ เพื่อรองรับการแลกสิทธิประโยชน์ของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี – รอยัล ออร์คิด พลัส จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการตลาด โดยเปลี่ยนไมล์สะสมให้เป็นคะแนนสะสม KTC Forever Rewards แทนอีก 838 ล้านบาท และมาตรการของรัฐที่ลดอัตราภาษีจาก 30% เหลือ 23% และ 20% ในปี 2555 และ 2556 ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลให้ในปีนี้มูลค่าภาษีเงินได้รอตัดบัญชีติดลบ 404 ล้านบาท
