“ธนาพัฒน์ฯ” มั่นใจตลาดอสังหาฯ กลับมาคึกคักในไตรมาส 2 เชื่อเอกชนทยอยปรับเงินเดือน-ค่าแรงขั้นต่ำ ส่งผลให้กำลังซื้อสูงขึ้น ดึงความเชื่อผู้ซื้อบ้านได้มากขึ้น ยอมรับที่ผ่านมากำลังซื้อยังมีอยู่ เพียงแต่ผู้ซื้อชะลอดูความชัดเจน เผยนโยบายบริหารจัดการรับมือปัญหาน้ำท่วมมีส่วนหนุนอีกแรง ด้านราคาอสังหาฯ คาดจะมีการปรับตัวขึ้นในอัตราปกติที่ 5% แต่ไม่กระทบ “พฤกษา” มั่นใจยอดขายฟื้น ยอดขายรอโอนได้กว่า 75% เล็งเปิดใหม่ 49 โครงการ
นายดลพิวัฒน์ ปรีดาวิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP เปิดเผยว่า ยังเชื่อมั่นว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อภายในประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากผ่านสถานการณ์เลวร้ายน้ำท่วมกรุงครั้งใหญ่ โดยก่อนหน้านี้ยอมรับว่าบรรยากาศการซื้อขายอสังหาฯ ไม่คึกคักมากนัก เพราะนอกจากจะมีปัจจัยลบเรื่องน้ำท่วมแล้วตลาดอสังหาฯ ยังถูกกดดันจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในยุโรป ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนจนกว่าจะมีความเชื่อมั่น
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ของปี 2555 ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการการปรับเงินเดือนพนักงานที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท ที่ทยอยขึ้นให้กับข้าราชการและคาดว่าในส่วนภาคเอกชนจะปรับขึ้นเงินเดือนพนักงานด้วยเช่นกัน ประกอบกับค่าจ้างรายวันวันละ 300 บาทน่าจะทยอยปรับขึ้นในช่วงเดียวกัน รวมถึงจากการที่รัฐบาลเริ่มมีท่าทีที่ชัดเจนในเรื่องแผนบริหารจัดการน้ำซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการเรียกความเชื่อมั่นในทุกๆ ด้านกลับคืนมา
“มาตราการปรับเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ และค่าจ้างรายวันของรัฐบาลที่คาดว่าจะทยอยปรับขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะหนุนให้กำลังซื้ออสังหาฯ กลับมาอีกครั้ง เนื่องจากที่ผ่านมาสภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของคนในประเทศไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจยุโรปและสถานการณ์มากน้ำท่วมมากนัก ประกอบกับแผนบริหารจัดการน้ำมีความชัดเจนมากขึ้น ที่ผ่านมายอมรับว่าการซื้ออสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงเนื่องจากมีปัจจัยลบส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจชะลอซื้อออกไปทั้งที่มีกำลังซื้อ”
นายดลพิวัฒน์ กล่าวต่อว่า ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ แนวโน้มราคาอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5 % ตามราคาวัสดุก่อสร้างที่ทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนราคาเหล็ก สำหรับราคาอสังหาริมทรัพย์ ที่ปรับขึ้นตามจำนวนดังกล่าวถือเป็นตัวเลขปกติ และหากเปรียบเทียบกับปัจจัยบวกที่จะเข้ามาสนับสนุน ทั้งการปรับเงินเดือน และค่าจ้างขั้นต่ำถือว่ากำลังซื้อที่จะเกิดขึ้นยังสูงกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ระดับราคาใด
ด้านนายสมบูรณ์ วศินชัชวาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS กล่าวว่า ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะยังชะลอตัวในไตรมาส 1 หรืออาจจะปรับลดลง 5% จากปีก่อน และจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ในครึ่งปีแรกที่ 40% และครึ่งปีหลัง 60%
ทั้งนี้ การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและผู้จบปริญญาตรีจะมีส่วนช่วยให้ยอดขายของบริษัทดีขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีนี้เติบโต 12% หรือมาอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอโอน(backlog) จำนวน 3.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะโอนภายในปีนี้ประมาณ 1.95 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 75% ของเป้ารายได้รวม
สำหรับเป้าหมายรายได้ดังกล่าว มาจากโครงการในกรุงเทพและปริมณฑล 92% อีก 5% เป็นโครงการในต่างจังหวัด และ 3% เป็นโครงการในต่างประเทศ ทั้งที่มัลดีฟส์ขยายเฟส อินเดีย และเวียดนามที่คาดว่าจะเริ่มได้กลางปีนี้
ส่วนโครงการในประเทศปีนี้จะเปิด 49 โครงการ มูลค่ารวม 3.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีที่ดินแล้ว 28 โครงการ ใช้งบลงทุนซื้อที่ดิน 5 พันถึง 1 หมื่นล้านบาท แผนการพัฒนาของบริษัทในปีนี้จะเน้นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์มากขึ้น เนื่องจากมองว่าโครงการที่พัฒนาในปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดี
ขณะที่คอนโดมิเนียมยังขอประเมินสถานการณ์น้ำท่วมก่อน รวมทั้งกฎหมายผังเมืองใหม่ ซึ่งบริษัทจะหารือกับสมาคมอาคารชุด เพื่อเสนอให้รัฐบาลทบทวนและกลับไปใช้กฎหมายผังเมืองฉบับเดิม เพราะมองว่ามีความเหมาะสมอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ยังเตรียมเสนอขายหุ้นกู้วงเงิน 3-5 พันล้านบาทในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2555 เร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิมที่จะเสนอขายในช่วงมิถุนายน-กรกฎาคม 2555 เนื่องจากภาวะตลาดในช่วงนี้เอื้อต่อการเสนอขายหุ้นกู้และได้รับประโยชน์อัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าจะออกหุ้นกู้อายุ 3-5 ปี อัตราดอกเบี้ยกว่า 4% ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับที่ปรึกษาทางการเงินเกี่ยวกับความเหมาะสมในการกำหนดวงเงิน
การออกหุ้นกู้ดังกล่าวเพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมที่จะครบอายุ และจัดโครงสร้างทางการเงินให้หนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะยาว 3-5 ปีมากขึ้น ส่วนหนี้ระยะสั้นจะอยู่ที่ประมาณ 1 ปี
นอกจากนั้น บริษัทจะมีการปรับโครงสร้างภายในเพื่อบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะยอมรับว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายบ้าน 3-5% ซึ่งเป็นการทยอยปรับตามต้นทุนที่ปรับขึ้นเฉลี่ย 5% และเชื่อว่าจะทำให้อัตรากำไรสุทธิในปีนี้อยู่ที่ 15-16% กลับไปเท่ากับปี 50 จากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 12%