รัฐบาลหุ่น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จเบื้องต้นในการฉีกรัฐธรรมนูญปี 2550 แล้วด้วยการรับหลักการ 399 เสียง ขั้นตอนต่อไปก็คือ เลือกตั้ง ส.ส.ร.ในแต่ละจังหวัด เลือกเฟ้นนักวิชาการผู้มีความรู้เรื่องรัฐธรรมนูญมายกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ซึ่งก็คงจะต้องใช้เวลาเป็นปีในการยกร่างฯ ทำประชาพิจารณ์ ลงประชามติผ่านเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมา และก็คงจะต้องใช้งบประมาณเกือบหมื่นล้านบาท สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้
จะใช้เวลานานแค่ไหน งบประมาณมากเท่าไร ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญสำหรับประชาธิปไตย แต่ก็เห็นกันแล้วมิใช่หรือ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สงครามไพร่โค่น อำมาตย์ที่ผ่านมา ในที่สุดเราก็ได้ผู้นำที่ไม่พูดความจริงกับประชาชน หรือพูดกันอย่างไม่ต้องเกรงใจก็คือ ได้นายกรัฐมนตรีที่โกหก ตอหลดตอแหลกับประชาชน
ความจริงข้อนี้คนที่ยืนยันได้ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นพี่ชายของนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเองที่เป็นคนบอกด้วยการโฟนลิงก์พูดกับคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมกันที่เขาใหญ่คืนวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยการพูดถึงคนที่เหมาะสมที่จะเป็นรัฐมนตรีมากที่สุดคือ จตุพร พรหมพันธุ์ และรับปากว่าจะใช้หนี้ให้ การกำชับให้รีบเยียวยาคนเสื้อแดงที่ล้มตาย บาดเจ็บ ติดคุก และพูดถึงนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังทำและจะทำต่อไป นั่นเท่ากับบอกประชาชนว่า ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่ทักษิณจะบงการชี้นิ้วทั้งสิ้น
ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพูดหน้าตาเฉยไม่มีอาย ไม่มีเคอะเขินว่า ตัดสินใจเอง พิจารณาเอง ล้วนเป็นเรื่องเท็จ เรื่องไม่จริงทั้งสิ้น
เป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างยิ่งที่เมื่อปี พ.ศ. 2535 สังคมไทยยอมรับผู้นำที่ไม่รักษาคำพูดหรือพูดเท็จ พูดไม่จริง ไม่ได้ถึงกับลุกขึ้นประท้วงขับไล่ จนในที่สุดเกิดเหตุพฤษภาทมิฬขึ้น นายกรัฐมนตรีคนนั้น คือ พลเอกสุจินดา คราประยูร ต้องพ้นจากตำแหน่ง
แต่พอ ทักษิณ ชินวัตร เอาหุ้นไปซุกไว้กับคนใช้ คนขับรถ รปภ.ซึ่งเป็นความผิดที่เป็นเรื่องร้ายแรง สังคมกลับพยายามให้อภัย ให้โอกาส
แต่พอนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พูดเท็จอย่างหน้าด้านๆ กลายเป็นเรื่องน่ารัก น่าให้อภัย น่าเห็นอกเห็นใจ เป็นเรื่องที่จะต้องถนอมรัก แม้จะเห็นอยู่อย่างชัดเจนว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ประสีประสาทางการเมืองก็ต้องให้โอกาส ต้องเห็นอกเห็นใจในความเป็นผู้หญิง หรือไม่ก็ต้องพยายามคิดว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ซ่อนความเป็นอัจฉริยะเอาไว้ ฯลฯ
เออ! เป็นไปได้
ใครที่ออกมาคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกมองว่า เป็นซากเดนเผด็จการ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 มาจาก ส.ส.ร.ที่เผด็จการทหารวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่งตั้งตัวหัวหน้าคณะรัฐประหาร คือ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ก็ดูเหมือนจะยอมรับความเป็นจริงข้อนี้ เพราะทุกวันนี้ไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไปเป็นประธานกรรมาธิการหาทางที่จะปรองดอง หาทางที่จะสมานฉันท์
เออ! เป็นไปได้ วันหนึ่งทักษิณก็อาจจะใช้หนี้ให้ได้เป็นรัฐมนตรีบ้างหรอกน่า
ไม่มีใครบอกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 จะแก้ไขไม่ได้ จะแก้ไขมาตราไหนก็ย่อมแก้ไขได้ทั้งนั้นแหละครับ แม้คนร่างเขาก็เขียนวิธีหรือหนทางที่จะแก้ไขเอาไว้ แต่ไม่ใช่ฉีกทิ้ง หรือยกเลิกทั้งฉบับแล้วเขียนขึ้นมาใหม่ให้เสียเวลา เสียงบประมาณ
ส.ส.ร.ที่ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยึดเอารัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นหลัก
ข้อเท็จจริงนี้พิสูจน์ได้จากเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับ นำรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับนี้มาเปรียบเทียบดูก็ได้ หรือย้อนกลับไปศึกษาระหว่างที่มีการยกร่างฯ ระหว่างที่มีการพิจารณา ระหว่างที่มีการทำประชาพิจารณ์ก็จะเห็นความจริงข้อนี้
จุดอ่อนหรือหากเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 อยู่ที่ใด จะแก้ไขตรงไหนอย่างไร ก็แก้ไขเสียที่ตรงนั้น โดยบอกกล่าวให้ประชาชนทั้งหลายทราบก็จบ
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็บอกไม่ได้ว่า มีเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ใดบ้างที่จะต้องแก้ หรือต้องฉีกทิ้งแล้วร่างขึ้นมาใหม่
ด้วยเหตุนี้จึงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า พวกเขาจะร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อช่วยคนคนเดียว คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังหนีคุกหนีตะรางอยู่ขณะนี้
สิ่งที่ทักษิณต้องการก็คือ ต้องการกลับประเทศไทยอย่างผู้บริสุทธิ์ ต้องการทรัพย์สมบัติที่ถูกศาลพิพากษายึดไว้ 4.6 หมื่นล้านบาท กลับคืนและต้องการให้คดีต่างๆ ที่ค้างคาศาลอยู่ขณะนี้พ้นไปจากสารบบของศาล
การเคลื่อนไหวของทักษิณในเดือนเมษายน 2552 และเมษายน 2553 ก็เพื่อการนี้
ขณะนี้ประสบความสำเร็จแล้วด้วยการส่งน้องสาวให้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ผู้ที่บอกได้ใช้ฟังเป็นคณะรัฐมนตรีให้รับใช้ทักษิณด้วยการไม่อุทธรณ์คดี เมียทักษิณ ลูกทักษิณไม่ต้องเสียภาษี ทักษิณได้พาสปอร์ต
แล้วทักษิณก็จะได้อย่างอื่นตามที่ทักษิณต้องการในลำดับถัดไป
มีบางเสียงว่า ทำไมจึงก้าวข้ามไม่พ้นทักษิณสักที ทำไมมาห่วงคนคนเดียว?
ต้องถามก่อนว่าการก้าวข้ามให้พ้นทักษิณคือการอยู่เฉยๆ เพราะไม่ต้องสนใจว่ามันจะปู้ยี้ปู้ยำประเทศนี้อย่างไรอย่างนั้นหรือ ไม่ต้องอีนังขังขอบ ไม่ว่ามันจะเอางบประมาณแผ่นดินไปใช้หนี้พวกที่ขายชีวิตขายวิญญาณให้มันด้วยการเรียกกันว่า เยียวยาอย่างนั้น หรือจะต้องอยู่เฉยๆ ไม่ว่ามันจะจัดการอย่างไรกับประเทศไทยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งใครมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี แต่งตั้งข้าราชการประจำทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร
ต้องนั่งทำตาปริบๆ เห็นดีเห็นงามกับการปู้ยี่ปู้ยำประเทศนี้อย่างนั้นละหรือ จึงจะเรียกว่าก้าวข้ามทักษิณ
กูคนหนึ่งละ ที่ไม่เอาด้วย
จะใช้เวลานานแค่ไหน งบประมาณมากเท่าไร ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญสำหรับประชาธิปไตย แต่ก็เห็นกันแล้วมิใช่หรือ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สงครามไพร่โค่น อำมาตย์ที่ผ่านมา ในที่สุดเราก็ได้ผู้นำที่ไม่พูดความจริงกับประชาชน หรือพูดกันอย่างไม่ต้องเกรงใจก็คือ ได้นายกรัฐมนตรีที่โกหก ตอหลดตอแหลกับประชาชน
ความจริงข้อนี้คนที่ยืนยันได้ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นพี่ชายของนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเองที่เป็นคนบอกด้วยการโฟนลิงก์พูดกับคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมกันที่เขาใหญ่คืนวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยการพูดถึงคนที่เหมาะสมที่จะเป็นรัฐมนตรีมากที่สุดคือ จตุพร พรหมพันธุ์ และรับปากว่าจะใช้หนี้ให้ การกำชับให้รีบเยียวยาคนเสื้อแดงที่ล้มตาย บาดเจ็บ ติดคุก และพูดถึงนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังทำและจะทำต่อไป นั่นเท่ากับบอกประชาชนว่า ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่ทักษิณจะบงการชี้นิ้วทั้งสิ้น
ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพูดหน้าตาเฉยไม่มีอาย ไม่มีเคอะเขินว่า ตัดสินใจเอง พิจารณาเอง ล้วนเป็นเรื่องเท็จ เรื่องไม่จริงทั้งสิ้น
เป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างยิ่งที่เมื่อปี พ.ศ. 2535 สังคมไทยยอมรับผู้นำที่ไม่รักษาคำพูดหรือพูดเท็จ พูดไม่จริง ไม่ได้ถึงกับลุกขึ้นประท้วงขับไล่ จนในที่สุดเกิดเหตุพฤษภาทมิฬขึ้น นายกรัฐมนตรีคนนั้น คือ พลเอกสุจินดา คราประยูร ต้องพ้นจากตำแหน่ง
แต่พอ ทักษิณ ชินวัตร เอาหุ้นไปซุกไว้กับคนใช้ คนขับรถ รปภ.ซึ่งเป็นความผิดที่เป็นเรื่องร้ายแรง สังคมกลับพยายามให้อภัย ให้โอกาส
แต่พอนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พูดเท็จอย่างหน้าด้านๆ กลายเป็นเรื่องน่ารัก น่าให้อภัย น่าเห็นอกเห็นใจ เป็นเรื่องที่จะต้องถนอมรัก แม้จะเห็นอยู่อย่างชัดเจนว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ประสีประสาทางการเมืองก็ต้องให้โอกาส ต้องเห็นอกเห็นใจในความเป็นผู้หญิง หรือไม่ก็ต้องพยายามคิดว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ซ่อนความเป็นอัจฉริยะเอาไว้ ฯลฯ
เออ! เป็นไปได้
ใครที่ออกมาคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกมองว่า เป็นซากเดนเผด็จการ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 มาจาก ส.ส.ร.ที่เผด็จการทหารวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่งตั้งตัวหัวหน้าคณะรัฐประหาร คือ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ก็ดูเหมือนจะยอมรับความเป็นจริงข้อนี้ เพราะทุกวันนี้ไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไปเป็นประธานกรรมาธิการหาทางที่จะปรองดอง หาทางที่จะสมานฉันท์
เออ! เป็นไปได้ วันหนึ่งทักษิณก็อาจจะใช้หนี้ให้ได้เป็นรัฐมนตรีบ้างหรอกน่า
ไม่มีใครบอกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 จะแก้ไขไม่ได้ จะแก้ไขมาตราไหนก็ย่อมแก้ไขได้ทั้งนั้นแหละครับ แม้คนร่างเขาก็เขียนวิธีหรือหนทางที่จะแก้ไขเอาไว้ แต่ไม่ใช่ฉีกทิ้ง หรือยกเลิกทั้งฉบับแล้วเขียนขึ้นมาใหม่ให้เสียเวลา เสียงบประมาณ
ส.ส.ร.ที่ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยึดเอารัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นหลัก
ข้อเท็จจริงนี้พิสูจน์ได้จากเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับ นำรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับนี้มาเปรียบเทียบดูก็ได้ หรือย้อนกลับไปศึกษาระหว่างที่มีการยกร่างฯ ระหว่างที่มีการพิจารณา ระหว่างที่มีการทำประชาพิจารณ์ก็จะเห็นความจริงข้อนี้
จุดอ่อนหรือหากเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 อยู่ที่ใด จะแก้ไขตรงไหนอย่างไร ก็แก้ไขเสียที่ตรงนั้น โดยบอกกล่าวให้ประชาชนทั้งหลายทราบก็จบ
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็บอกไม่ได้ว่า มีเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ใดบ้างที่จะต้องแก้ หรือต้องฉีกทิ้งแล้วร่างขึ้นมาใหม่
ด้วยเหตุนี้จึงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า พวกเขาจะร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อช่วยคนคนเดียว คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังหนีคุกหนีตะรางอยู่ขณะนี้
สิ่งที่ทักษิณต้องการก็คือ ต้องการกลับประเทศไทยอย่างผู้บริสุทธิ์ ต้องการทรัพย์สมบัติที่ถูกศาลพิพากษายึดไว้ 4.6 หมื่นล้านบาท กลับคืนและต้องการให้คดีต่างๆ ที่ค้างคาศาลอยู่ขณะนี้พ้นไปจากสารบบของศาล
การเคลื่อนไหวของทักษิณในเดือนเมษายน 2552 และเมษายน 2553 ก็เพื่อการนี้
ขณะนี้ประสบความสำเร็จแล้วด้วยการส่งน้องสาวให้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ผู้ที่บอกได้ใช้ฟังเป็นคณะรัฐมนตรีให้รับใช้ทักษิณด้วยการไม่อุทธรณ์คดี เมียทักษิณ ลูกทักษิณไม่ต้องเสียภาษี ทักษิณได้พาสปอร์ต
แล้วทักษิณก็จะได้อย่างอื่นตามที่ทักษิณต้องการในลำดับถัดไป
มีบางเสียงว่า ทำไมจึงก้าวข้ามไม่พ้นทักษิณสักที ทำไมมาห่วงคนคนเดียว?
ต้องถามก่อนว่าการก้าวข้ามให้พ้นทักษิณคือการอยู่เฉยๆ เพราะไม่ต้องสนใจว่ามันจะปู้ยี้ปู้ยำประเทศนี้อย่างไรอย่างนั้นหรือ ไม่ต้องอีนังขังขอบ ไม่ว่ามันจะเอางบประมาณแผ่นดินไปใช้หนี้พวกที่ขายชีวิตขายวิญญาณให้มันด้วยการเรียกกันว่า เยียวยาอย่างนั้น หรือจะต้องอยู่เฉยๆ ไม่ว่ามันจะจัดการอย่างไรกับประเทศไทยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งใครมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี แต่งตั้งข้าราชการประจำทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร
ต้องนั่งทำตาปริบๆ เห็นดีเห็นงามกับการปู้ยี่ปู้ยำประเทศนี้อย่างนั้นละหรือ จึงจะเรียกว่าก้าวข้ามทักษิณ
กูคนหนึ่งละ ที่ไม่เอาด้วย