กลิ่นคาวปู ยังไม่ทันหายคละคลุ้ง ไปจาก ชั้น 7 โรงแรมสี่ฤดู กลิ่นแอลกอฮอล์ ก็โชยตลบอบอวลไปทั่วรัฐสภาอันทรงเกียรติ คืนวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555 ระหว่างการอภิปราย ญัตติ แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เมื่อร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกลายตำรวจเก่า เมาแล้วเลอะ พาลหาเรืองประท้วง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านระหว่างการอภิปราย จนถูก นส. รังสิมา รอดรัศมี สส.หญิงของพรรคประชาธิปัตย์ แฉผ่านกล้องทีวีไปทั่วประเทศว่า “ เหลิมเมา” ( อีกแล้ว) เอิ้ก !
นายกฯกับรองนายกฯคู่นี้ สมกันราวผีแห้งกับโลงผุ นายกฯ หนีประชุมสภาฯ แอบไปพบผู้ชายชื่อ เศรษฐา ทวีสิน ที่ชั้น 7 โรงแรมหรู รองนายกฯ แวบออกมาตั้งวงเหล้าอยู่ข้างห้องประชุม เมาจนได้ที่ เดินกร่างเข้าไปอาละวาดในที่ประชุม
ขนาดคนในพรรคเพื่อไทยด้วยกันเอง ยังเอือมระอากับพฤติกรรม แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เข้าไปเตือนก็โดนด่า เสียงลอดไมค์ ได้ยินกันทั้งประเทศว่า “ เอ็งไปยอมได้ไง ไม่จบก็ไม่จบ”
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เรื่องเหลิมเมาไวน์ ก็เป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เมื่อมีการประชุม คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ กตร.วันที่ 25 ธันวาคมปีที่แล้ว วาระการแต่งตั้งโยกย้าย นายพลตำรวจ ระดับรองผู้บัญชาการ และผู้บังคับการ ประชุมกันตั้งแต่ บ่ายวันที่ 25 ไปสิ้นสุดเอา ตีสี่วันรุ่งขึ้น ทำเอา ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมเปรี้ยวปาก เพราะได้เวลา ต้องคุยไปดื่มไป จนควบคุมอาการไม่อยู่ ถึงขึ้นทุบโต๊ะ ด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อถูกขัดขวางจากพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ไม่ยอมให้ย้ายพล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนารถ ออกจากตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปราม และ พล.ต.ต. โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ออกจากตำแหน่งผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบก.ปอศ.) เพื่อเอาคนของตัวเองมานั่งแทน
เมื่อเสร็จสิ้นการประชุม ร.ต.อ.เฉลิมเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ยอมให้สัมภาษณ์รายละเอียดการประชุมเหมือนที่ผ่านมา รวมทั้งยังรีบขึ้นไปห้องทำงาน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. ซึ่งใช้เวลาอยู่นานพอสมควร ก่อนเดินทางกลับด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและเดินเซ จน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ที่ลงมาส่งต้องพยุงตัวขึ้นรถ เนื่องจากดื่มไวน์ไปหลายขวด
ต่างที่ ต่างเวลาเท่านั้น แต่พฤติกรรมเหมือนกันไม่มีผิด คือ กร่าง พอถูกขัดคอ ขัดใจ จึงหัวเสีย ยิ่งเมาไวน์ ก็คุมตัวเองไม่อยุ่ ปล่อยให้อำนาตจฝายต่ำหลุดรอดสำแดงตนออกมา
ร.ต.อ. เฉลิม เป็นนักดื่ม ประเภท คอแป๊ป กินกั๊กเมาแบน กินแมนเบากลม ปกติ ดื่มไวน์ครั้งละไม่เกินไม่ครึ่งชั่วโมง เวลาต่อจากนั้น เป็นฝ่ายถูกไวน์กิน ถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ เข้าบงการ เพราะดื่มแบบตายอดตายอยาก
การดื่มไวน์ของ ร.ต.อ. เฉลิม ก็เหมือนการพูดภาษาอังกฤษ แบบเยสโน โอเค โคล่า เป๊ปซี่ และเหมือน ปริญญาบัตร ดอกเตอร์กำมะลอว์ ที่เขาขอบอวดอ้าง ทับถมคนอื่น คือ เป็นการชดเชย ปกปิด ปมด้อยของตัวเอง ที่เป็นคนรู้น้อย เรียนต่ำ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิด และรู้สึกไปเองว่า เป็นปมด้อย เมื่อมีอำนาจ และอำนาจนำมาซึ่งเงินทอ งเขาจึงไขว่คว้าหาสิ่งเหล่านี้มาประดับตัว
แต่สติปัญญา และความรู้ ไม่ใช่ใบหน้าและเรือนร่างของสตรี และบุรุษ ที่สามารถทำศัลยกรรม ให้ดูดีกว่าของที่ธรรมชาติให้มา ปริญญาบัตร ไม่สามารถทำให้คนไม่รู้ กลายเป็นคนรู้ขึ้นมาได้ หากไม่ไขว่คว้าแสวงหาความรู้ด้วยตัวเองอย่างจริงจัง
ครั้งหนึ่ง เมื่อถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตร ถามว่า ในฐานะดอกเตอร์ออฟลอว์ ร.ต.อ. เฉลิม ได้คะแนนสอบความรู้ภาษาอังกฤษ หรือ โทเฟล ถึง 550 คะแนนหรือไม่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขของผู้ที่จะเข้าศึกษาระดับปริญญาเอก ด้านกฎหมาย ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เขายอมรับว่า ไม่เคยสอบโทเฟล เพราะมหาวิทยาลัย กำหนดให้จบปริญญาโท โดยมีเกรดไม่ต่ำกว่า 3.5 ก็เข้าเรียนได้ ไม่ต้องสอบภาษาอังกฤษ แต่เจ้าหน้าที่โครงการปรัชญาดุษฎีบัณฑิต ด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระบุว่า มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าศึกษาระดับ โครงการดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ว่า ผู้สมัครต้องมีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ ได้ TOEFL ไม่ต่ำกว่า 550 หรือ ต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษจากสถาบันภาษา ม.รามคำแหงโดยได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 กรณีไม่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว จะต้องเข้ารับการอบรมภาษาอังกฤษตามเงื่อนไขที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด หรือ ต้องสอบผ่านความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษก่อนสำเร็จการศึกษา
แต่ก่อนแต่ไร เหลิม ไม่ดื่ม ร.ต.อ.เฉลิม รู้จักไวน์จริงๆจัง ก็เมื่อเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อกลางปี 2538 หลังจากนั้น ก็ดื่มเรื่อยมา จนติดต้องดื่มทุกเย็น วันไหนมีประชุมถึงค่ำ หรือดึก ต้องดื่มไปประชุมไป เพราะเขาคิดว่า ไวน์ คือเครื่องดิ่มที่แสดงถึงรสนิยม และความมีฐานะ ไวน์ยี่ห้อไหน มีชื่อว่า แพง ยิ่งต้องหามาดื่มให้ได้ ถ้าได้ฟรี ยิ่งดี
ก็เหมือนกับรสนิยม การแต่งตัว ที่ครั้งหนึ่ง เมื่อกลางปี 2540 เขาเคยคุยว่า ใส่แต่เสื้อเวอร์ชาเซ่ ราคาถูกสุด 7-8 พันบาท แพงสุด 3 หมื่นบาท สวมรองเท้าเทคโตนี่ คาดเข็มขัดหลุยส์ วิตตอง ทั้งเนื้อทั้งตัว มีแต่ของแบรนด์เนม จากยุโรป
เป็นนิสัย อวดร่ำ อวดรวย อวดรสนิยม เหมือนนิสัยติดไวน์
ไวน์ แม้จะมีแอลกอฮอล์ 13-14 เปอร์เซ็นต์ น้อยกว่าวิสกี้ถึง 3 เท่าตัว แต่การดื่มไวน์ เป็นการดื่มเพียวๆ ไม่เหมือนเหล้าที่ผสมโซดา หรือน้ำให้แอลกอฮอล์เจือจาง และดื่มกันไม่มาก 2-3 แก้วเท่านั้น ให้ได้รู้รส ชื่นชมกิน ถ้าดื่มแบบอวดร่ำ อวดรวย ดื่มยกขวด ก็จะเป็นแบบ ร.ต.อ. เฉลิม คือเมาเร็ว เมาไม่รู้ตัว คิดว่า เมารัก คุมสติไม่อยู่
___________________________________________
การดื่มไวน์ของ ร.ต.อ. เฉลิม ก็เหมือนการพูดภาษาอังกฤษ แบบเยสโน โอเค โคล่า เป๊ปซี่ และเหมือน ปริญญาบัตร ดอกเตอร์กำมะลอว์ ที่เขาขอบอวดอ้าง ทับถมคนอื่น คือ เป็นการชดเชย ปกปิด ปมด้อยของตัวเอง ที่เป็นคนรู้น้อย เรียนต่ำ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิด และรู้สึกไปเองว่า เป็นปมด้อย เมื่อมีอำนาจ และอำนาจนำมาซึ่งเงินทอ งเขาจึงไขว่คว้าหาสิ่งเหล่านี้มาประดับตัว
แต่สติปัญญา และความรู้ ไม่ใช่ใบหน้าและเรือนร่างของสตรี และบุรุษ ที่สามารถทำศัลยกรรม ให้ดูดีกว่าของที่ธรรมชาติให้มา ปริญญาบัตร ไม่สามารถทำให้คนไม่รู้ กลายเป็นคนรู้ขึ้นมาได้ หากไม่ไขว่คว้าแสวงหาความรู้ด้วยตัวเองอย่างจริงจัง
นายกฯกับรองนายกฯคู่นี้ สมกันราวผีแห้งกับโลงผุ นายกฯ หนีประชุมสภาฯ แอบไปพบผู้ชายชื่อ เศรษฐา ทวีสิน ที่ชั้น 7 โรงแรมหรู รองนายกฯ แวบออกมาตั้งวงเหล้าอยู่ข้างห้องประชุม เมาจนได้ที่ เดินกร่างเข้าไปอาละวาดในที่ประชุม
ขนาดคนในพรรคเพื่อไทยด้วยกันเอง ยังเอือมระอากับพฤติกรรม แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เข้าไปเตือนก็โดนด่า เสียงลอดไมค์ ได้ยินกันทั้งประเทศว่า “ เอ็งไปยอมได้ไง ไม่จบก็ไม่จบ”
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เรื่องเหลิมเมาไวน์ ก็เป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เมื่อมีการประชุม คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ กตร.วันที่ 25 ธันวาคมปีที่แล้ว วาระการแต่งตั้งโยกย้าย นายพลตำรวจ ระดับรองผู้บัญชาการ และผู้บังคับการ ประชุมกันตั้งแต่ บ่ายวันที่ 25 ไปสิ้นสุดเอา ตีสี่วันรุ่งขึ้น ทำเอา ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมเปรี้ยวปาก เพราะได้เวลา ต้องคุยไปดื่มไป จนควบคุมอาการไม่อยู่ ถึงขึ้นทุบโต๊ะ ด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อถูกขัดขวางจากพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ไม่ยอมให้ย้ายพล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนารถ ออกจากตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปราม และ พล.ต.ต. โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ออกจากตำแหน่งผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบก.ปอศ.) เพื่อเอาคนของตัวเองมานั่งแทน
เมื่อเสร็จสิ้นการประชุม ร.ต.อ.เฉลิมเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ยอมให้สัมภาษณ์รายละเอียดการประชุมเหมือนที่ผ่านมา รวมทั้งยังรีบขึ้นไปห้องทำงาน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. ซึ่งใช้เวลาอยู่นานพอสมควร ก่อนเดินทางกลับด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและเดินเซ จน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ที่ลงมาส่งต้องพยุงตัวขึ้นรถ เนื่องจากดื่มไวน์ไปหลายขวด
ต่างที่ ต่างเวลาเท่านั้น แต่พฤติกรรมเหมือนกันไม่มีผิด คือ กร่าง พอถูกขัดคอ ขัดใจ จึงหัวเสีย ยิ่งเมาไวน์ ก็คุมตัวเองไม่อยุ่ ปล่อยให้อำนาตจฝายต่ำหลุดรอดสำแดงตนออกมา
ร.ต.อ. เฉลิม เป็นนักดื่ม ประเภท คอแป๊ป กินกั๊กเมาแบน กินแมนเบากลม ปกติ ดื่มไวน์ครั้งละไม่เกินไม่ครึ่งชั่วโมง เวลาต่อจากนั้น เป็นฝ่ายถูกไวน์กิน ถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ เข้าบงการ เพราะดื่มแบบตายอดตายอยาก
การดื่มไวน์ของ ร.ต.อ. เฉลิม ก็เหมือนการพูดภาษาอังกฤษ แบบเยสโน โอเค โคล่า เป๊ปซี่ และเหมือน ปริญญาบัตร ดอกเตอร์กำมะลอว์ ที่เขาขอบอวดอ้าง ทับถมคนอื่น คือ เป็นการชดเชย ปกปิด ปมด้อยของตัวเอง ที่เป็นคนรู้น้อย เรียนต่ำ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิด และรู้สึกไปเองว่า เป็นปมด้อย เมื่อมีอำนาจ และอำนาจนำมาซึ่งเงินทอ งเขาจึงไขว่คว้าหาสิ่งเหล่านี้มาประดับตัว
แต่สติปัญญา และความรู้ ไม่ใช่ใบหน้าและเรือนร่างของสตรี และบุรุษ ที่สามารถทำศัลยกรรม ให้ดูดีกว่าของที่ธรรมชาติให้มา ปริญญาบัตร ไม่สามารถทำให้คนไม่รู้ กลายเป็นคนรู้ขึ้นมาได้ หากไม่ไขว่คว้าแสวงหาความรู้ด้วยตัวเองอย่างจริงจัง
ครั้งหนึ่ง เมื่อถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตร ถามว่า ในฐานะดอกเตอร์ออฟลอว์ ร.ต.อ. เฉลิม ได้คะแนนสอบความรู้ภาษาอังกฤษ หรือ โทเฟล ถึง 550 คะแนนหรือไม่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขของผู้ที่จะเข้าศึกษาระดับปริญญาเอก ด้านกฎหมาย ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เขายอมรับว่า ไม่เคยสอบโทเฟล เพราะมหาวิทยาลัย กำหนดให้จบปริญญาโท โดยมีเกรดไม่ต่ำกว่า 3.5 ก็เข้าเรียนได้ ไม่ต้องสอบภาษาอังกฤษ แต่เจ้าหน้าที่โครงการปรัชญาดุษฎีบัณฑิต ด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระบุว่า มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าศึกษาระดับ โครงการดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ว่า ผู้สมัครต้องมีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ ได้ TOEFL ไม่ต่ำกว่า 550 หรือ ต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษจากสถาบันภาษา ม.รามคำแหงโดยได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 กรณีไม่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว จะต้องเข้ารับการอบรมภาษาอังกฤษตามเงื่อนไขที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด หรือ ต้องสอบผ่านความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษก่อนสำเร็จการศึกษา
แต่ก่อนแต่ไร เหลิม ไม่ดื่ม ร.ต.อ.เฉลิม รู้จักไวน์จริงๆจัง ก็เมื่อเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อกลางปี 2538 หลังจากนั้น ก็ดื่มเรื่อยมา จนติดต้องดื่มทุกเย็น วันไหนมีประชุมถึงค่ำ หรือดึก ต้องดื่มไปประชุมไป เพราะเขาคิดว่า ไวน์ คือเครื่องดิ่มที่แสดงถึงรสนิยม และความมีฐานะ ไวน์ยี่ห้อไหน มีชื่อว่า แพง ยิ่งต้องหามาดื่มให้ได้ ถ้าได้ฟรี ยิ่งดี
ก็เหมือนกับรสนิยม การแต่งตัว ที่ครั้งหนึ่ง เมื่อกลางปี 2540 เขาเคยคุยว่า ใส่แต่เสื้อเวอร์ชาเซ่ ราคาถูกสุด 7-8 พันบาท แพงสุด 3 หมื่นบาท สวมรองเท้าเทคโตนี่ คาดเข็มขัดหลุยส์ วิตตอง ทั้งเนื้อทั้งตัว มีแต่ของแบรนด์เนม จากยุโรป
เป็นนิสัย อวดร่ำ อวดรวย อวดรสนิยม เหมือนนิสัยติดไวน์
ไวน์ แม้จะมีแอลกอฮอล์ 13-14 เปอร์เซ็นต์ น้อยกว่าวิสกี้ถึง 3 เท่าตัว แต่การดื่มไวน์ เป็นการดื่มเพียวๆ ไม่เหมือนเหล้าที่ผสมโซดา หรือน้ำให้แอลกอฮอล์เจือจาง และดื่มกันไม่มาก 2-3 แก้วเท่านั้น ให้ได้รู้รส ชื่นชมกิน ถ้าดื่มแบบอวดร่ำ อวดรวย ดื่มยกขวด ก็จะเป็นแบบ ร.ต.อ. เฉลิม คือเมาเร็ว เมาไม่รู้ตัว คิดว่า เมารัก คุมสติไม่อยู่
___________________________________________
การดื่มไวน์ของ ร.ต.อ. เฉลิม ก็เหมือนการพูดภาษาอังกฤษ แบบเยสโน โอเค โคล่า เป๊ปซี่ และเหมือน ปริญญาบัตร ดอกเตอร์กำมะลอว์ ที่เขาขอบอวดอ้าง ทับถมคนอื่น คือ เป็นการชดเชย ปกปิด ปมด้อยของตัวเอง ที่เป็นคนรู้น้อย เรียนต่ำ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิด และรู้สึกไปเองว่า เป็นปมด้อย เมื่อมีอำนาจ และอำนาจนำมาซึ่งเงินทอ งเขาจึงไขว่คว้าหาสิ่งเหล่านี้มาประดับตัว
แต่สติปัญญา และความรู้ ไม่ใช่ใบหน้าและเรือนร่างของสตรี และบุรุษ ที่สามารถทำศัลยกรรม ให้ดูดีกว่าของที่ธรรมชาติให้มา ปริญญาบัตร ไม่สามารถทำให้คนไม่รู้ กลายเป็นคนรู้ขึ้นมาได้ หากไม่ไขว่คว้าแสวงหาความรู้ด้วยตัวเองอย่างจริงจัง