ASTVผู้จัดการรายวัน - “เอไซ” เปิดแผนธุรกิจปี 2555 เดินหน้าบุกตลาด แม้ภาพรวมธุรกิจยามีเหตุชะลอตัว เผยตลาดต่างประเทศเติบโตดี เล็งพันธมิตรขยายกลุ่มยา 5 ประเภทรองรับ AEC เป้าเติบโต 2.5 พันล้านใน 5 ปี
นายทวีศักดิ์ สีทองสุภณา ประธานกรรมการ บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ในปี 2554 มีมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เติบโตเพียง 1.8% เพราะข้อกำหนดในการควบคุมการใช้ยาในระบบสวัสดิการข้าราชการ รวมทั้งผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม ส่งผลต่อตลาดยาในกลุ่มโรงพยาบาลรัฐบาล มีอัตราการชะลอตัว ขณะที่ตลาดโรงพยาบาลเอกชนและร้านขายยา เติบโต 5-7% ส่งผลให้ตลาดโดยรวมมีอัตราที่ทรงตัว ขณะที่ปี 2553 มีอัตราเติบโตประมาณ 7%
ส่วนบริษัท มีรายได้ที่ทรงตัวเทียบเท่ากับปี 2553 ช่องทางโรงพยาบาลรัฐบาลซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 30% ของบริษัท มีอัตราถดถอย ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลเอกชน เติบโต 15% ส่วนช่องทางร้านขายยาเติบโต 28% ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทเพิ่มทีมขายสำหรับโรงพยาบาลเอกชนโดยเฉพาะ จึงเติบโตทั้งสองกลุ่ม
ทั้งนี้รายได้จากการส่งออกไปยัง 6 ประเทศ พบว่า ตลาดอินโดจีนเติบโต 20% เพราะบริษัททำตลาดประเทศที่เติบโตสูงอย่างเวียดนามมานานถึง 10 ปี โดยมีทีมขายเพื่อเข้าไปทำตลาดโดยเฉพาะ และปีนี้จะมุ่งทำตลาดในส่วนของสวัสดิการรัฐผ่านโรงพยาบาลรัฐบาล ซึ่งมีส่วนแบ่ง 60% ของตลาดยาและเวชภัณฑ์ในเวียดนาม ส่วนตลาดพม่าช่องทางโรงพยาบาลจะมีโอกาสทำตลาดน้อย แต่ลักษณะของผู้ป่วยจะซื้อยารับประทานเองมากกว่า ช่องทางร้านขายยา จึงเป็นช่องทางหลัก ปีนี้จะขยายตลาดไปสู่ท้องถิ่นของพม่ามากขึ้น
ส่วนกลยุทธ์ตลาดในประเทศปีนี้ จะแยกการทีมขายเฉพาะแต่ละช่องทาง และแม้ว่ากลุ่มโรงพยาบาลภาครัฐจะเป็นกลุ่มที่ชะลอตัว แต่บริษัทยังมีโยบาย รักษาสมดุลตลาดไว้ที่ระดับเดิม พร้อมบุกตลาดสำหรับสถาบันการศึกษาสำหรับแพทย์ รวมทั้งจะหาพันธิตรเพื่อขยายธุรกิจยาในกลุ่มที่ถนัด ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ โรคทางด้านประสาท โรคด้านจิตเวช โรคทางเดินอาหาร โรคทางด้านกระดูก และโรคมะเร็ง ทั้งในไทยและต่างประเทศ
ขณะนี้เจรจากับบริษัททั้งในไทย ญี่ปุ่น และยุโรป เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในเมืองไทย ตลาดอินโดจีน และการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) เป้าหมาย 3-5 ปี ระยะ 3 ปี บริษัทจะมีรายได้ 1.8 พันล้านบาท และภายใน 5 ปี มีรายได้ 2.5 พันล้านบาท จากรายได้ 1.3 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งอีก 5ปี รายได้จากต่างประเทศ จะมีสัดส่วน 60% ปีนี้คาดว่าตลาดในประเทศจะโต 7% ตลาดต่างประเทศโต 20% ส่วนตลาดรวมคาดว่าจะเติบโต 4%
นายทวีศักดิ์ สีทองสุภณา ประธานกรรมการ บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ในปี 2554 มีมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เติบโตเพียง 1.8% เพราะข้อกำหนดในการควบคุมการใช้ยาในระบบสวัสดิการข้าราชการ รวมทั้งผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม ส่งผลต่อตลาดยาในกลุ่มโรงพยาบาลรัฐบาล มีอัตราการชะลอตัว ขณะที่ตลาดโรงพยาบาลเอกชนและร้านขายยา เติบโต 5-7% ส่งผลให้ตลาดโดยรวมมีอัตราที่ทรงตัว ขณะที่ปี 2553 มีอัตราเติบโตประมาณ 7%
ส่วนบริษัท มีรายได้ที่ทรงตัวเทียบเท่ากับปี 2553 ช่องทางโรงพยาบาลรัฐบาลซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 30% ของบริษัท มีอัตราถดถอย ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลเอกชน เติบโต 15% ส่วนช่องทางร้านขายยาเติบโต 28% ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทเพิ่มทีมขายสำหรับโรงพยาบาลเอกชนโดยเฉพาะ จึงเติบโตทั้งสองกลุ่ม
ทั้งนี้รายได้จากการส่งออกไปยัง 6 ประเทศ พบว่า ตลาดอินโดจีนเติบโต 20% เพราะบริษัททำตลาดประเทศที่เติบโตสูงอย่างเวียดนามมานานถึง 10 ปี โดยมีทีมขายเพื่อเข้าไปทำตลาดโดยเฉพาะ และปีนี้จะมุ่งทำตลาดในส่วนของสวัสดิการรัฐผ่านโรงพยาบาลรัฐบาล ซึ่งมีส่วนแบ่ง 60% ของตลาดยาและเวชภัณฑ์ในเวียดนาม ส่วนตลาดพม่าช่องทางโรงพยาบาลจะมีโอกาสทำตลาดน้อย แต่ลักษณะของผู้ป่วยจะซื้อยารับประทานเองมากกว่า ช่องทางร้านขายยา จึงเป็นช่องทางหลัก ปีนี้จะขยายตลาดไปสู่ท้องถิ่นของพม่ามากขึ้น
ส่วนกลยุทธ์ตลาดในประเทศปีนี้ จะแยกการทีมขายเฉพาะแต่ละช่องทาง และแม้ว่ากลุ่มโรงพยาบาลภาครัฐจะเป็นกลุ่มที่ชะลอตัว แต่บริษัทยังมีโยบาย รักษาสมดุลตลาดไว้ที่ระดับเดิม พร้อมบุกตลาดสำหรับสถาบันการศึกษาสำหรับแพทย์ รวมทั้งจะหาพันธิตรเพื่อขยายธุรกิจยาในกลุ่มที่ถนัด ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ โรคทางด้านประสาท โรคด้านจิตเวช โรคทางเดินอาหาร โรคทางด้านกระดูก และโรคมะเร็ง ทั้งในไทยและต่างประเทศ
ขณะนี้เจรจากับบริษัททั้งในไทย ญี่ปุ่น และยุโรป เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในเมืองไทย ตลาดอินโดจีน และการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) เป้าหมาย 3-5 ปี ระยะ 3 ปี บริษัทจะมีรายได้ 1.8 พันล้านบาท และภายใน 5 ปี มีรายได้ 2.5 พันล้านบาท จากรายได้ 1.3 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งอีก 5ปี รายได้จากต่างประเทศ จะมีสัดส่วน 60% ปีนี้คาดว่าตลาดในประเทศจะโต 7% ตลาดต่างประเทศโต 20% ส่วนตลาดรวมคาดว่าจะเติบโต 4%