SPCG โชว์ศักยภาพผู้นำผลิตโซล่าฟาร์ม พร้อมเปิดทางนักลงทุนร่วมหุ้น มุ่งพัฒนาทางเลือกใหม่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต พร้อมเล็งบุกตลาดอาเซียนปี 56
วันนี้ (30 ม.ค.) ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดย บริษัท เอสพีซีจี จำกัด(มหาชน) (มหาชน) ได้จัดงาน “SPCG HIGH GROWTH GRAND OPENING” โดย น.ส.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า บริษัท มีการขยายตัวทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด จากที่มีทรัพย์สินก่อนควบรวมเพียง 163 ล้านบาท ในปี 2553 กลายเป็นมีมูลค่าสูงถึง 4,452 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา และมีแผนจะเพิ่มทุนเปิดขายหุ้นเป็นครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เพื่อสร้างโซล่าฟาร์มแห่งใหม่อีก 25 โครงการ อันจะเสร็จสิ้นในปี 2556 มีมูลค่าการลงทุนกว่า 24,000 ล้านบาท ก่อนที่ไทยจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC)
ล่าสุด บริษัท พร้อมด้วย นายฮิโรฟูมิ ทายาม่า ประธานบริษัท บริษัท เอนเนเกต จำกัด และ นายอิซาโอะ อิมาอิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยไอจิเดนกิ จำกัด ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ เพื่อศึกษา การลงทุนร่วมกันในประเทศไทย ในกิจการประกอบระบบควบคุมไฟฟ้าแรงสูง เช่น ตู้สวิทช์ตัดตอนระบบไฟฟ้าแรงดันสูง ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้า สำหรับโซล่าฟาร์ม และโครงการอื่นๆ รวมถึงศึกษาและพัฒนาโครงการด้าน Smart Technology
น.ส.วันดี กล่าวว่า จากการเล็งเห็นถึงศักยภาพในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อันเป็น พลังงานของมวลมนุษยชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งขณะนั้นตนเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด (SPC) จึงได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Power Purchase Agreement: PPA) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 34 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้งกว่า 240เมกะวัตต์ และหลังจากนั้นจึงดำเนินการควบรวมกิจการกับบริษัทซึ่งอยู่ในตลาด หลักทรัพย์อย่าง บริษัท สตีล อินเตอร์เทค จำกัด (มหาชน) และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน
“ธุรกิจโซล่าฟาร์มเป็นธุรกิจ ที่มีความยั่งยืน เรามาร่วมกันก่อสร้างโรงไฟฟ้า แต่เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ดังนั้นเราจึงไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของการซื้อเชื้อเพลิง ไม่มีความผันผวนของอัตราค่าเชื้อเพลิง ลงทุนเพียงครั้งแรก และที่เหลือก็เป็นการบำรุงรักษาตลอดอายุโครงการ30-50 ปี และการคืนเงินต้น เงินกู้ยืมแก่ธนาคารก็จะจบอยู่ภายในช่วง 10 ปีแรก ดังนั้น ผลตอบแทนที่มีต่อนักลงทุนก็จะเป็นผลตอบแทนจากการประกอบกิจการเต็มๆ”
ทั้งนี้ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในการพัฒนาโครงการ โซล่าฟาร์มเชิงพาณิชย์แห่งแรกใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน มีแผนที่จะพัฒนาโครงการโซล่าฟาร์ม จำนวน 34 แห่งๆ ละ 6 เมกะวัตต์ รวมกว่า 204 เมกะวัตต์ มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 24,000 ล้านบาทให้แล้ว เสร็จภายในปี 2556 โดยได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นที่เรียบร้อยทั้ง 34 โครงการ ปัจจุบันมีโครงการโซล่า ฟาร์ม 5 แห่ง ได้เชื่อมต่อขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กรรมการตรวจสอบบริษัทและกรรมการอิสระบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำคัญของการพัฒนาโซล่าฟาร์ม และเป็นผู้นำในสายธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ ก่อนการเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนไว้ว่า ตลาดทางด้านการผลิตกระแสไฟฟ้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญที่สุด ซึ่ง เอสพีซีจี ได้เริ่มทำกันอย่างเต็มที่ และเล็งเห็นว่าตลาดนี้ไม่เพียงแต่เป็นตลาดภายในประเทศไทย เพราะว่าภายในปีไม่กี่ปีข้างหน้าเราก็จะกลายเป็นตลาดเดียวกันทั้งอาเซียน เพราะฉะนั้น เอสพีซีจี ก็จะสามารถกระจายออกไปเพื่อสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศต่างๆ ทั้ง11 ประเทศในกลุ่มอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีความต้องการมาก เพราะฉะนั้นประสบการณ์ที่ เอสพีซีจี มีและได้ริเริ่มสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ก็จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ