PTTGC ฟุ้งปีนี้ฟันรายได้โตกว่าปีก่อนที่ 5 แสนล้านบาทแน่ เนื่องจากปริมาณการผลิตโตขึ้น 15%จากการเดินเครื่องจักรมากขึ้น และราคาน้ำมันดีดขึ้นช่วงนี้ ดันสเปรดเม็ดพลาสติกดีขึ้นและเห็นสัญญาณมีกำไรจากสต็อกน้ำมันในไตรมาส 1นี้ แย้มส่วนขยายโรงเอทิลีนไกคอลจ่อเดินหน้า หลังรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพฉลุยแล้ว
แหล่งข่าวจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTGC) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15% จากการเดินเครื่องจักรผลิตโอเลฟินส์เฉลี่ยดีขึ้นอยู่ที่ 90%ของกำลังการผลิตรวม เทียบกับปี 2554 ที่ใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 80% ทำให้รายได้บริษัทฯปีนี้สูงกว่าปี2554 ที่มีรายได้รวม 5 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส1/2555 เดิมบริษัทฯคาดการณ์ว่าจะมีผลประกอบการลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบการหยุดโรงงานเอทิลีนแครกเกอร์ล้านตันของบริษัท พีทีที โพลีเอทิลีน จำกัด และโรงงานต่อเนื่องกระทันหันจากโรงไฟฟ้าหยุดจ่ายไฟเมื่อสิ้นเดือนม.ค.55 แต่ล่าสุดพบว่าความเสียหายดังกล่าวมีมูลค่าไม่มากนักเพราะเป็นช่วงที่ใกล้เคียงที่โรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 6 หยุดซ่อมบำรุงตามแผนงานอยู่แล้ว และไม่มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน(Stock Gain) แต่ล่าสุดราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 115 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หากราคาน้ำมันดิบยืนราคาอยู่เช่นนี้จนถึงวันที่ 31 มี.ค.55 บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันประมาณพันล้านบาท จากไตรมาส1/2554 บริษัทฯมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 3 พันล้านบาท
ขณะที่ราคาเม็ดพลาสติกHDPEในไตรมาสนี้อ่อนตัวลงอยู่ระดับ 1300 เหรียญสหรัฐต่อตัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นนี้ น่าจะทำให้ราคาเม็ดพลาสติกHDPE ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกและวัตถุดิบ (สเปรด)ดีขึ้นด้วยจากปัจจุบันอยู่ที่ 350 เหรียญสหรัฐต่อตัน
แหล่งข่าว กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเอทิลีนออกไซด์และเอทิลีนไกลคอล(ส่วนขยาย) ขนาดกำลังผลิต 9.5 หมื่นตันต่อปีว่า บริษัทฯคาดว่าจะได้รับอนุญาตให้ดำเนินโครงการดังกล่าวได้ภายในเร็วๆนี้ หลังจากโครงการดังกล่าวผ่านการอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ(EHIA)แล้ว และอยู่ระหว่างกระบวนการอนุญาตจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)อยู่
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯในงวดปี 2554ว่า บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 5 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็น 33% และ 84 % ตามลำดับ เนื่องจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)มาจากการควบบริษัทระหว่าง ปตท. เคมิคอล กับ ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่นเมื่อวันที่ 19 ต.ค.54
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2554 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายจำนวน 104,433 ล้านบาท มีรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา จำนวน 7,068 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,113 ล้านบาท
โดยในช่วงไตรมาส 4/2554 เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยุโรปทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตน้อยกว่าที่คาดไว้ และจีนได้เพิ่มความเข้มงวดด้านนโยบายการเงินเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ ส่งผลกดดันต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงเล็กน้อย ในขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผู้ซื้อไม่มั่นใจต่ออนาคตของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการเกิดวิกฤติน้ำท่วมของประเทศไทยได้ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อบริษัท เนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้ามีความจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าลง ให้สอดคล้องกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงในช่วงเกิดน้ำท่วม โรงแยกก๊าซฯ จึงลดปริมาณการส่งก๊าซซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตโอเลฟินส์ ทำให้ต้องลดปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ลงด้วย
ภาพรวมสถานการณ์ตลาดปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในตลาดโลกปี 2554 ประกอบด้วย สถานการณ์ตลาดปิโตรเลียม ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 106 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 28 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 36 % จากปีก่อน สถานการณ์ตลาดอะโรเมติกส์ปรับตัวขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะความต้องการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์โพลิเอสเตอร์ที่เป็นธุรกิจปลายน้ำของผลิตภัณฑ์พาราไซลีน โดยส่วนต่างราคาพาราไซลีนเพิ่มขึ้น 220 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือเพิ่มขึ้น 56 % จากปีก่อน
ส่วนตลาดโอเลฟินส์ราคาเฉลี่ยเอทิลีนและโพรพิลีนอยู่ที่ระดับ 1,187 และ 1,386 เหรียญสหรัฐฯต่อตันตามลำดับ สูงกว่าปีก่อนเฉลี่ย 10% และ 23% ตามลำดับ โดยในปี 2553 ราคาเฉลี่ยเอทิลีน อยู่ที่ 1,076 และโพรพิลีน เฉลี่ย 1,132 เหรียญสหรัฐ ต่อตัน ตลาดเม็ดพลาสติกราคาโพลีเมอร์เพิ่มขึ้นสูงในไตรมาสแรกจากปัญหาความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง ประกอบกับการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานหลายแห่ง
แหล่งข่าวจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTGC) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15% จากการเดินเครื่องจักรผลิตโอเลฟินส์เฉลี่ยดีขึ้นอยู่ที่ 90%ของกำลังการผลิตรวม เทียบกับปี 2554 ที่ใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 80% ทำให้รายได้บริษัทฯปีนี้สูงกว่าปี2554 ที่มีรายได้รวม 5 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส1/2555 เดิมบริษัทฯคาดการณ์ว่าจะมีผลประกอบการลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบการหยุดโรงงานเอทิลีนแครกเกอร์ล้านตันของบริษัท พีทีที โพลีเอทิลีน จำกัด และโรงงานต่อเนื่องกระทันหันจากโรงไฟฟ้าหยุดจ่ายไฟเมื่อสิ้นเดือนม.ค.55 แต่ล่าสุดพบว่าความเสียหายดังกล่าวมีมูลค่าไม่มากนักเพราะเป็นช่วงที่ใกล้เคียงที่โรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 6 หยุดซ่อมบำรุงตามแผนงานอยู่แล้ว และไม่มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน(Stock Gain) แต่ล่าสุดราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 115 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หากราคาน้ำมันดิบยืนราคาอยู่เช่นนี้จนถึงวันที่ 31 มี.ค.55 บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันประมาณพันล้านบาท จากไตรมาส1/2554 บริษัทฯมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 3 พันล้านบาท
ขณะที่ราคาเม็ดพลาสติกHDPEในไตรมาสนี้อ่อนตัวลงอยู่ระดับ 1300 เหรียญสหรัฐต่อตัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นนี้ น่าจะทำให้ราคาเม็ดพลาสติกHDPE ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกและวัตถุดิบ (สเปรด)ดีขึ้นด้วยจากปัจจุบันอยู่ที่ 350 เหรียญสหรัฐต่อตัน
แหล่งข่าว กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเอทิลีนออกไซด์และเอทิลีนไกลคอล(ส่วนขยาย) ขนาดกำลังผลิต 9.5 หมื่นตันต่อปีว่า บริษัทฯคาดว่าจะได้รับอนุญาตให้ดำเนินโครงการดังกล่าวได้ภายในเร็วๆนี้ หลังจากโครงการดังกล่าวผ่านการอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ(EHIA)แล้ว และอยู่ระหว่างกระบวนการอนุญาตจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)อยู่
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯในงวดปี 2554ว่า บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 5 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็น 33% และ 84 % ตามลำดับ เนื่องจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)มาจากการควบบริษัทระหว่าง ปตท. เคมิคอล กับ ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่นเมื่อวันที่ 19 ต.ค.54
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2554 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายจำนวน 104,433 ล้านบาท มีรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา จำนวน 7,068 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,113 ล้านบาท
โดยในช่วงไตรมาส 4/2554 เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยุโรปทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตน้อยกว่าที่คาดไว้ และจีนได้เพิ่มความเข้มงวดด้านนโยบายการเงินเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ ส่งผลกดดันต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงเล็กน้อย ในขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผู้ซื้อไม่มั่นใจต่ออนาคตของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการเกิดวิกฤติน้ำท่วมของประเทศไทยได้ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อบริษัท เนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้ามีความจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าลง ให้สอดคล้องกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงในช่วงเกิดน้ำท่วม โรงแยกก๊าซฯ จึงลดปริมาณการส่งก๊าซซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตโอเลฟินส์ ทำให้ต้องลดปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ลงด้วย
ภาพรวมสถานการณ์ตลาดปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในตลาดโลกปี 2554 ประกอบด้วย สถานการณ์ตลาดปิโตรเลียม ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 106 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 28 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 36 % จากปีก่อน สถานการณ์ตลาดอะโรเมติกส์ปรับตัวขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะความต้องการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์โพลิเอสเตอร์ที่เป็นธุรกิจปลายน้ำของผลิตภัณฑ์พาราไซลีน โดยส่วนต่างราคาพาราไซลีนเพิ่มขึ้น 220 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือเพิ่มขึ้น 56 % จากปีก่อน
ส่วนตลาดโอเลฟินส์ราคาเฉลี่ยเอทิลีนและโพรพิลีนอยู่ที่ระดับ 1,187 และ 1,386 เหรียญสหรัฐฯต่อตันตามลำดับ สูงกว่าปีก่อนเฉลี่ย 10% และ 23% ตามลำดับ โดยในปี 2553 ราคาเฉลี่ยเอทิลีน อยู่ที่ 1,076 และโพรพิลีน เฉลี่ย 1,132 เหรียญสหรัฐ ต่อตัน ตลาดเม็ดพลาสติกราคาโพลีเมอร์เพิ่มขึ้นสูงในไตรมาสแรกจากปัญหาความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง ประกอบกับการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานหลายแห่ง
