00 รับรองไม่จบง่ายๆ อย่างที่ นายกฯนกแก้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทยให้จบเรื่อง ว.5 ที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์ง่ายๆ ยิ่งหลังสุดมี “หนุ่มใหญ่รูปหล่อ” นามว่า เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการแสนสิริกรุ๊ป โผล่หน้าออกมายอมรับว่าไปพบกับ นายกฯปูที่โรงแรมดังกล่าวจริง แต่ก็ออกตัวว่าไปพร้อมกับพรรคพวกนักธุรกิจอีก 6-7 มันก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะมีเรื่องให้ติดตามต่อ จะให้ผ่านไปง่ายๆไม่ได้เป็นอันขาด
00 ถ้าถามว่าที่ผ่านมาสังคม “วงใน” รู้หรือเปล่าว่าคนที่พบกับ “น้องปู” นั้นคือ เศรษฐา ก็ต้องตอบว่า “รู้” และยัง “รู้เรื่องมาตั้งนาน” แล้วด้วย เพียงแต่ว่าอยากให้เจ้าตัวออกมายอมรับเสียก่อนเท่านั้นเอง อย่างไรก็ดีแม้ว่ายอมรับหรือไม่ ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะสังคมกำลังอยากรู้ว่าคนพวกนี้ไปคุยอะไรกัน ลักษณะที่ออกมาล้วนดูแล้ว “ลับๆล่อๆ” พิกล แม้ว่า หากไม่สงสัยกับเรื่อง “ชู้สาว” ของคนทั้งสองระหว่าง “ปู-เศรษฐา” ที่มีการปะติดปะต่อข้อมูลตามที่ นพดล ปัทมะ คนสนิทของ ทักษิณ ชินวัตรออกมายืนยันก่อนหน้านี้ก็ได้
00 สิ่งที่น่าสงสัยก็คือ นักธุรกิจที่ไปร่วมหารือลับกับนายกฯปูนั้นมีใครอีกนอกจาก เศรษฐา เพราะบอกว่ามีอีก 6-7 คน ก่อนหน้านี้มีการอ้างจากของพวกลิ่วล้ออาสาเสนอหน้าจากพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจับประเด็นได้ว่าเป็นการรับฟังข้อมูลเพราะเตรียมออก “นโยบายสำคัญ”ของรัฐบาลในเร็วๆนี้ ขณะที่ เอกยุทธ อัญชันบุตร คนที่ไปเห็นภาพลับแล้วโดนชกและมาเปิดโปงระบุว่ามีเรื่องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องจากโครงการ “ฟลัดเวย์” แก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลที่ใช้งบประมาณมหาศาล ขณะเดียวกันเมื่อดูจากแบ็กกราวด์ของแต่ละคนมันก็ชวนให้สงสัยคล้อยตามเสียด้วย เพราะ เศรษฐา เป็นเจ้าของแสนสิริเป็นบิ๊กอสังหา ส่วนนายกฯก่อนหน้านี้ก็เป็นบิ๊กบอร์ดธุรกิจของครอบครัวในนาม “เอสซีแอซเสท” ดังนั้นไม่ว่าประเด็นไหนล้วน “เข้าเค้า”ทั้งสิ้น
00 เมื่อเป็นแบบนี้ไม่ชี้แจงไม่ได้แล้วพี่น้อง รับรองว่าไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอย่างเดียว แต่มันมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” จบง่ายๆมั่วๆไม่ได้หรอก โดยเฉพาะการยกเอาเรื่อง “สตรีเพศ” มาสร้างกระแสกลบเกลื่อนมันใช้ไม่ได้ เพราะ “สตรีเพศ”คนนี้เป็นนายกฯและอาสาเข้ามา เมื่อคนสงสัยก็ต้องชี้แจง ต้องเคลียร์ให้กระจ่าง และยิ่งบอกว่าไปคุยกันเรื่องนโยบายสำคัญ ไม่ใช่เรื่องชู้สาว ไม่ทำให้เสื่อมเสีย แล้วทำไมจนป่านนี้ถึงได้ทำเป็นพิรุธถึงพูดเองไม่ได้ และอยากบอกให้ตาสว่างก็ได้ว่าถ้าเธอไม่ได้เป็นนายกฯ เป็นผู้นำประเทศ แต่เป็นแค่สาวไฮโซแต่งตัวเฉิดฉายทั่วไป เป็นแค่เศรษฐีนีดอดไปพบกับใคร ทำเรื่องผิดศีลธรรมหรือไม่ ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว แต่เมื่อมีสถานะอย่างที่เป็นอยู่ชาวบ้านเขาก็ “ต้องรู้” ไม่ต้องมามั่วอ้างโพลล์โง่ๆเพื่อมาปิดปากหรอก ทุด !!
00 นี่ก็ทะแม่ง พิลึกเรื่อยๆกับเรื่องระเบิดในซอยปรีดีฯและที่สุขุมวิท 71 เพราะเมื่อมีข้อมูลน่าสงสัยว่าอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่กรุงนิวเดลีและจอร์เจีย ทั้งรูปแบบการลงมือและอุปกรณ์แบบเดียวกัน แล้วก็ “ล้มเหลว” เหมือนกันอีก มันก็ทำให้น่าสงสัยว่าถ้าเป็นฝีมือของ อิหร่านและ “ฮิซบอลเลาะห์” ตามที่ ยิวกับมะกันฟันธงจริงก็แสดงว่าฝีมือ “ตกลง”ไปมากถึงขั้น “ห่วย”ทีเดียว ขณะเดียวกันท่าทีล่าสุดของทางการสหรัฐฯก็คือต้องการเข้ามาร่วมสอบสวนกับฝ่ายไทย ซึ่งมองกันแบบเข้าใจก็คือต้องการเข้ามา “แทรกแซง” อีกทั้งทำให้มานั่งคิดในใจว่า นี่เป็น “เกมหาเรื่อง” เพื่อลงมือกับอิหร่านหรือเปล่า โดยเลือกไทยเป็นสถานทีปิดเกม เพราะดูแล้วโจรที่ว่านี่ฝีมือมันกระจอกผิดสังเกต
00 ที่หนักหนาสาหัสไปกว่านั้นก็คือ เรื่องที่ คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน( FATF) ขึ้นบัญชีดำไทยว่าเฉยเมยกับเรื่องการฟอกเงินและก่อการร้าย ทำให้มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ การลงทุนตามมาในวงกว้าง และเมื่อมาดูรายชื่อประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีดำก็ยิ่งห่อเหี่ยว เพราะกลายเป็นว่าเราอยู่ในระดับ “เกรดต่ำสุด” เลยทีเดียว มิน่าขนาด กิตติรัตน์ ณ ระนอง ขุนคลัง ถึงกับส่ายหัวหนักใจหลาย
00 อีกอารมณ์หนึ่งได้ยินคำแถลงด้วยความภาคภูมิใจของ ปตท.ว่ามีกำไรปีที่แล้วเป็นประวัติการณ์คือ 1.05 แสนล้านบาท และจ่ายเป็นเงิน “ปันผล”หุ้น 24,000 ล้านบาท ก็ไม่รู้ว่าจะดีใจจนน้ำตาไหลหรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนของการจ่ายส่วนแบ่งกำไรจากการขายพลังงาน จากการใช้ความเป็นรัฐวิสาหกิจนำไปแบ่งให้ผู้ถือหุ้นในตระกูลนักการเมืองไม่กี่ตัว อ้อต้องเตือนความจำกันลืมก็คือเวลานี้เบนซินขึ้นไปทะลุเกินลิตรละ 40 บาทแล้ว และก๊าซแอลพีจีวันก่อนขึ้นอีกกิโลกรัมละ 75 ส.ต.และ เอ็นจีวีปรับอีกกิโลกรัมละ 50 ส.ต. ขณะเดียวกันบัตรเครดิตพลังงานก็มีปัญหารูดไม่ปรื๊ด โชคดีนะพี่น้องแท็กซี่ ส่วน รมว.พาณิชย์ บุญทรง เตริยาภิรมย์ ก็บอกว่ากำลังทำผลงานด้วยการ “กระชากค่าครองชีพ” ลงมาให้ได้ ด้วยการขายข้าวผัดกระเพราจานละ 25 บาท เจริญละ !!
00 ถ้าถามว่าที่ผ่านมาสังคม “วงใน” รู้หรือเปล่าว่าคนที่พบกับ “น้องปู” นั้นคือ เศรษฐา ก็ต้องตอบว่า “รู้” และยัง “รู้เรื่องมาตั้งนาน” แล้วด้วย เพียงแต่ว่าอยากให้เจ้าตัวออกมายอมรับเสียก่อนเท่านั้นเอง อย่างไรก็ดีแม้ว่ายอมรับหรือไม่ ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะสังคมกำลังอยากรู้ว่าคนพวกนี้ไปคุยอะไรกัน ลักษณะที่ออกมาล้วนดูแล้ว “ลับๆล่อๆ” พิกล แม้ว่า หากไม่สงสัยกับเรื่อง “ชู้สาว” ของคนทั้งสองระหว่าง “ปู-เศรษฐา” ที่มีการปะติดปะต่อข้อมูลตามที่ นพดล ปัทมะ คนสนิทของ ทักษิณ ชินวัตรออกมายืนยันก่อนหน้านี้ก็ได้
00 สิ่งที่น่าสงสัยก็คือ นักธุรกิจที่ไปร่วมหารือลับกับนายกฯปูนั้นมีใครอีกนอกจาก เศรษฐา เพราะบอกว่ามีอีก 6-7 คน ก่อนหน้านี้มีการอ้างจากของพวกลิ่วล้ออาสาเสนอหน้าจากพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจับประเด็นได้ว่าเป็นการรับฟังข้อมูลเพราะเตรียมออก “นโยบายสำคัญ”ของรัฐบาลในเร็วๆนี้ ขณะที่ เอกยุทธ อัญชันบุตร คนที่ไปเห็นภาพลับแล้วโดนชกและมาเปิดโปงระบุว่ามีเรื่องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องจากโครงการ “ฟลัดเวย์” แก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลที่ใช้งบประมาณมหาศาล ขณะเดียวกันเมื่อดูจากแบ็กกราวด์ของแต่ละคนมันก็ชวนให้สงสัยคล้อยตามเสียด้วย เพราะ เศรษฐา เป็นเจ้าของแสนสิริเป็นบิ๊กอสังหา ส่วนนายกฯก่อนหน้านี้ก็เป็นบิ๊กบอร์ดธุรกิจของครอบครัวในนาม “เอสซีแอซเสท” ดังนั้นไม่ว่าประเด็นไหนล้วน “เข้าเค้า”ทั้งสิ้น
00 เมื่อเป็นแบบนี้ไม่ชี้แจงไม่ได้แล้วพี่น้อง รับรองว่าไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอย่างเดียว แต่มันมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” จบง่ายๆมั่วๆไม่ได้หรอก โดยเฉพาะการยกเอาเรื่อง “สตรีเพศ” มาสร้างกระแสกลบเกลื่อนมันใช้ไม่ได้ เพราะ “สตรีเพศ”คนนี้เป็นนายกฯและอาสาเข้ามา เมื่อคนสงสัยก็ต้องชี้แจง ต้องเคลียร์ให้กระจ่าง และยิ่งบอกว่าไปคุยกันเรื่องนโยบายสำคัญ ไม่ใช่เรื่องชู้สาว ไม่ทำให้เสื่อมเสีย แล้วทำไมจนป่านนี้ถึงได้ทำเป็นพิรุธถึงพูดเองไม่ได้ และอยากบอกให้ตาสว่างก็ได้ว่าถ้าเธอไม่ได้เป็นนายกฯ เป็นผู้นำประเทศ แต่เป็นแค่สาวไฮโซแต่งตัวเฉิดฉายทั่วไป เป็นแค่เศรษฐีนีดอดไปพบกับใคร ทำเรื่องผิดศีลธรรมหรือไม่ ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว แต่เมื่อมีสถานะอย่างที่เป็นอยู่ชาวบ้านเขาก็ “ต้องรู้” ไม่ต้องมามั่วอ้างโพลล์โง่ๆเพื่อมาปิดปากหรอก ทุด !!
00 นี่ก็ทะแม่ง พิลึกเรื่อยๆกับเรื่องระเบิดในซอยปรีดีฯและที่สุขุมวิท 71 เพราะเมื่อมีข้อมูลน่าสงสัยว่าอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่กรุงนิวเดลีและจอร์เจีย ทั้งรูปแบบการลงมือและอุปกรณ์แบบเดียวกัน แล้วก็ “ล้มเหลว” เหมือนกันอีก มันก็ทำให้น่าสงสัยว่าถ้าเป็นฝีมือของ อิหร่านและ “ฮิซบอลเลาะห์” ตามที่ ยิวกับมะกันฟันธงจริงก็แสดงว่าฝีมือ “ตกลง”ไปมากถึงขั้น “ห่วย”ทีเดียว ขณะเดียวกันท่าทีล่าสุดของทางการสหรัฐฯก็คือต้องการเข้ามาร่วมสอบสวนกับฝ่ายไทย ซึ่งมองกันแบบเข้าใจก็คือต้องการเข้ามา “แทรกแซง” อีกทั้งทำให้มานั่งคิดในใจว่า นี่เป็น “เกมหาเรื่อง” เพื่อลงมือกับอิหร่านหรือเปล่า โดยเลือกไทยเป็นสถานทีปิดเกม เพราะดูแล้วโจรที่ว่านี่ฝีมือมันกระจอกผิดสังเกต
00 ที่หนักหนาสาหัสไปกว่านั้นก็คือ เรื่องที่ คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน( FATF) ขึ้นบัญชีดำไทยว่าเฉยเมยกับเรื่องการฟอกเงินและก่อการร้าย ทำให้มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ การลงทุนตามมาในวงกว้าง และเมื่อมาดูรายชื่อประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีดำก็ยิ่งห่อเหี่ยว เพราะกลายเป็นว่าเราอยู่ในระดับ “เกรดต่ำสุด” เลยทีเดียว มิน่าขนาด กิตติรัตน์ ณ ระนอง ขุนคลัง ถึงกับส่ายหัวหนักใจหลาย
00 อีกอารมณ์หนึ่งได้ยินคำแถลงด้วยความภาคภูมิใจของ ปตท.ว่ามีกำไรปีที่แล้วเป็นประวัติการณ์คือ 1.05 แสนล้านบาท และจ่ายเป็นเงิน “ปันผล”หุ้น 24,000 ล้านบาท ก็ไม่รู้ว่าจะดีใจจนน้ำตาไหลหรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนของการจ่ายส่วนแบ่งกำไรจากการขายพลังงาน จากการใช้ความเป็นรัฐวิสาหกิจนำไปแบ่งให้ผู้ถือหุ้นในตระกูลนักการเมืองไม่กี่ตัว อ้อต้องเตือนความจำกันลืมก็คือเวลานี้เบนซินขึ้นไปทะลุเกินลิตรละ 40 บาทแล้ว และก๊าซแอลพีจีวันก่อนขึ้นอีกกิโลกรัมละ 75 ส.ต.และ เอ็นจีวีปรับอีกกิโลกรัมละ 50 ส.ต. ขณะเดียวกันบัตรเครดิตพลังงานก็มีปัญหารูดไม่ปรื๊ด โชคดีนะพี่น้องแท็กซี่ ส่วน รมว.พาณิชย์ บุญทรง เตริยาภิรมย์ ก็บอกว่ากำลังทำผลงานด้วยการ “กระชากค่าครองชีพ” ลงมาให้ได้ ด้วยการขายข้าวผัดกระเพราจานละ 25 บาท เจริญละ !!