ASTVผู้จัดการรายวัน - โพล ม.หอการค้าไทย ระบุเหตุระเบิดกลางกรุง ทุบท่องเที่ยว คาดซึมยาว 1-3 เดือน นักท่องเที่ยวหาย 2 แสนคน รายได้วูบหมื่นล้าน ห่วงหลายประเทศเตือนภัยถี่ๆ หรือระเบิดซ้ำ จะยิ่งซ้ำเติม ส่วนแผนแก้น้ำท่วมรัฐบาล คนส่วนใหญ่แทบไม่มั่นใจ เหตุไร้รายละเอียด
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจต่อเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยสำรวจจากกลุ่มธุรกิจภาคการค้า ภาคบริการ และภาคการผลิต จำนวน 650 ราย เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ผู้ตอบในภาคอุตสาหกรรม 82.1% ระบุว่าไม่ได้รับผลกระทบ ภาคการค้า 62.1%
ระบุว่าไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ภาคบริการ ได้แก่ ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท ธุรกิจท่องเที่ยว ภัตตาคารและร้านอาหาร สถานบันเทิงและพักผ่อน และให้เช่าอุปกรณ์ท่องเที่ยวต่างๆ มากถึง 87.2% ระบุว่าได้ผลกระทบ
ทั้งนี้ ผู้ตอบส่วนใหญ่มองว่า การท่องเที่ยวของประเทศจะได้รับผลกระทบมากที่สุด รองลงมาคือ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนในธุรกิจในประเทศของนักลงทุนต่างชาติ การค้าขายในประเทศ และการลงทุนในธุรกิจของคนไทย
ส่วนผู้ประกอบการภาคบริการ มองว่า เหตุระเบิดครั้งนี้ กระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศประมาณ 1-3 เดือน และจะกระทบต่อการทำธุรกิจท่องเที่ยว 2-3 เดือน โดยสิ่งที่จะได้รับผลกระทบ คือ จำนวนคนที่เข้าใช้บริการลดลง จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศลดลง รายได้ลดลง ยอดจองทัวร์ โรงแรมลดลง แต่ขณะนี้ยังไม่มีการยกเลิกทัวร์ และหากสถานทูตประเทศต่างๆ
ยังออกหนังสือเตือนให้นักท่องเที่ยวระวังเหตุระเบิดอย่างต่อเนื่อง ก็จะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้น
“ภาคบริการได้รับผลกระทบหนักสุด แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ห่วงกรุ๊ปทัวร์ ที่มีการจองการเดินทางล่วงหน้าแล้ว เพราะอาจไม่ยกเลิก แต่กังวลนักท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็ก ที่กำลังจะเข้ามา อาจวิตกจนไม่เข้ามา และหากสถานทูตประเทศต่างๆ ยังออกประกาศเตือนให้ระมัดระวังการท่องเที่ยวในไทย จะกระทบต่อการท่องเที่ยวไทยไปอีก 1-3 เดือน คาดว่า ไตรมาส 1 ปีนี้
อาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศมาไทยลดลง 5-10% หรือลดลง 100,000-200,000 คน รายได้จากการท่องเที่ยวหายไป 5,000-10,000 ล้านบาท แต่หากเกิดเหตุระเบิดซ้ำอีก ก็อาจกระทบยาวไปถึงเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นฤดูกาลเที่ยวของไทย และทำให้รายได้ท่องเที่ยวหายไป 20,000 ล้านบาท กระทบต่อจีดีพีปีนี้ที่ 0.1-0.2%” นายธนวรรธน์กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า สำหรับผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักธุรกิจต่อการป้องกันน้ำท่วมของภาครัฐ ที่สำรวจจากภาคธุรกิจเกษตร ภาคการค้า ภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรม ทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก จำนวน 800 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 7 -14 ก.พ.2555 พบว่า นักธุรกิจ 77.4% ยังเป็นห่วงว่าปีนี้จะเกิดปัญหาน้ำท่วมเหมือนปีที่ผ่านมา แต่ผู้ตอบ 30.5% ระบุจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
ส่วน 24.8% ระบุได้รับผลกระทบมากกว่า อีก 16.9% ระบุได้รับผลกระทบเท่าปีที่ผ่านมา มีเพียง 18.9% ที่ระบุไม่ได้รับผลกระทบ และ 8.9% ระบุไม่แน่ใจ โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าปีก่อน มีเพียงภาคการค้าเท่านั้น ที่ระบุได้รับผลกระทบมากกว่าปีก่อน
ทั้งนี้ เมื่อถามถึงความมั่นใจต่อการป้องกันน้ำของรัฐบาลในปี 2555 ผู้ตอบส่วนใหญ่ 78.2% ระบุมั่นใจปานกลางถึงน้อย เพราะเห็นจากผลงานในปี 2554 นโยบายยังไม่ชัดเจน ดีแต่พูดยังไม่ลงมือทำ และไม่มีผู้เชี่ยวชาญ มีเพียง 15.4% ระบุเชื่อมั่นมาก และ 6.4% ระบุไม่เชื่อเลย
“น้ำท่วม ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงที่นักธุรกิจยังให้ความสำคัญ ซึ่งน้ำท่วมปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ภาคธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวมากนัก คาดว่า จะฟื้นตัวปลายไตรมาส 2 ต่อเนื่องไตรมาส 3 และมีกระแสการย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศน้อยมาก การที่รัฐบาลทัวร์นกแก้วไปจังหวัดต่างๆ และมีการให้ข่าวถึงแผนการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการออกพ.ร.ก.กู้เงินเพื่อบริหารจัดน้ำ
ก็ทำให้นักธุรกิจมั่นใจในแผนแก้ปัญหาของรัฐบาลมากขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับปานกลาง เพราะข้อมูลข่าวสารที่ให้ยังมีน้อย มีรายละเอียดไม่มากนัก และยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรม รวมถึงพ.ร.ก.กู้เงินยังไม่ผ่านการพิจารณาของศาล” นายธนวรรธน์กล่าว
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจต่อเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยสำรวจจากกลุ่มธุรกิจภาคการค้า ภาคบริการ และภาคการผลิต จำนวน 650 ราย เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ผู้ตอบในภาคอุตสาหกรรม 82.1% ระบุว่าไม่ได้รับผลกระทบ ภาคการค้า 62.1%
ระบุว่าไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ภาคบริการ ได้แก่ ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท ธุรกิจท่องเที่ยว ภัตตาคารและร้านอาหาร สถานบันเทิงและพักผ่อน และให้เช่าอุปกรณ์ท่องเที่ยวต่างๆ มากถึง 87.2% ระบุว่าได้ผลกระทบ
ทั้งนี้ ผู้ตอบส่วนใหญ่มองว่า การท่องเที่ยวของประเทศจะได้รับผลกระทบมากที่สุด รองลงมาคือ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนในธุรกิจในประเทศของนักลงทุนต่างชาติ การค้าขายในประเทศ และการลงทุนในธุรกิจของคนไทย
ส่วนผู้ประกอบการภาคบริการ มองว่า เหตุระเบิดครั้งนี้ กระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศประมาณ 1-3 เดือน และจะกระทบต่อการทำธุรกิจท่องเที่ยว 2-3 เดือน โดยสิ่งที่จะได้รับผลกระทบ คือ จำนวนคนที่เข้าใช้บริการลดลง จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศลดลง รายได้ลดลง ยอดจองทัวร์ โรงแรมลดลง แต่ขณะนี้ยังไม่มีการยกเลิกทัวร์ และหากสถานทูตประเทศต่างๆ
ยังออกหนังสือเตือนให้นักท่องเที่ยวระวังเหตุระเบิดอย่างต่อเนื่อง ก็จะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้น
“ภาคบริการได้รับผลกระทบหนักสุด แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ห่วงกรุ๊ปทัวร์ ที่มีการจองการเดินทางล่วงหน้าแล้ว เพราะอาจไม่ยกเลิก แต่กังวลนักท่องเที่ยวแบบแบ็กแพ็ก ที่กำลังจะเข้ามา อาจวิตกจนไม่เข้ามา และหากสถานทูตประเทศต่างๆ ยังออกประกาศเตือนให้ระมัดระวังการท่องเที่ยวในไทย จะกระทบต่อการท่องเที่ยวไทยไปอีก 1-3 เดือน คาดว่า ไตรมาส 1 ปีนี้
อาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศมาไทยลดลง 5-10% หรือลดลง 100,000-200,000 คน รายได้จากการท่องเที่ยวหายไป 5,000-10,000 ล้านบาท แต่หากเกิดเหตุระเบิดซ้ำอีก ก็อาจกระทบยาวไปถึงเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นฤดูกาลเที่ยวของไทย และทำให้รายได้ท่องเที่ยวหายไป 20,000 ล้านบาท กระทบต่อจีดีพีปีนี้ที่ 0.1-0.2%” นายธนวรรธน์กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า สำหรับผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักธุรกิจต่อการป้องกันน้ำท่วมของภาครัฐ ที่สำรวจจากภาคธุรกิจเกษตร ภาคการค้า ภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรม ทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก จำนวน 800 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 7 -14 ก.พ.2555 พบว่า นักธุรกิจ 77.4% ยังเป็นห่วงว่าปีนี้จะเกิดปัญหาน้ำท่วมเหมือนปีที่ผ่านมา แต่ผู้ตอบ 30.5% ระบุจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
ส่วน 24.8% ระบุได้รับผลกระทบมากกว่า อีก 16.9% ระบุได้รับผลกระทบเท่าปีที่ผ่านมา มีเพียง 18.9% ที่ระบุไม่ได้รับผลกระทบ และ 8.9% ระบุไม่แน่ใจ โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าปีก่อน มีเพียงภาคการค้าเท่านั้น ที่ระบุได้รับผลกระทบมากกว่าปีก่อน
ทั้งนี้ เมื่อถามถึงความมั่นใจต่อการป้องกันน้ำของรัฐบาลในปี 2555 ผู้ตอบส่วนใหญ่ 78.2% ระบุมั่นใจปานกลางถึงน้อย เพราะเห็นจากผลงานในปี 2554 นโยบายยังไม่ชัดเจน ดีแต่พูดยังไม่ลงมือทำ และไม่มีผู้เชี่ยวชาญ มีเพียง 15.4% ระบุเชื่อมั่นมาก และ 6.4% ระบุไม่เชื่อเลย
“น้ำท่วม ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงที่นักธุรกิจยังให้ความสำคัญ ซึ่งน้ำท่วมปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ภาคธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวมากนัก คาดว่า จะฟื้นตัวปลายไตรมาส 2 ต่อเนื่องไตรมาส 3 และมีกระแสการย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศน้อยมาก การที่รัฐบาลทัวร์นกแก้วไปจังหวัดต่างๆ และมีการให้ข่าวถึงแผนการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการออกพ.ร.ก.กู้เงินเพื่อบริหารจัดน้ำ
ก็ทำให้นักธุรกิจมั่นใจในแผนแก้ปัญหาของรัฐบาลมากขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับปานกลาง เพราะข้อมูลข่าวสารที่ให้ยังมีน้อย มีรายละเอียดไม่มากนัก และยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรม รวมถึงพ.ร.ก.กู้เงินยังไม่ผ่านการพิจารณาของศาล” นายธนวรรธน์กล่าว
