“…การนำบทบัญญัติที่ปฏิบัติไม่ได้ตามสภาพที่เป็นจริงของชีวิต มาบังคับใช้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน แตกแยก ในชาติและประชาชน บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะยังความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นเองได้ ต้องตราขึ้นตามสภาพการณ์ และสภาพชีวิตที่แท้จริงของบ้านเมืองและบุคคล…” พระราชทานประกาศนียบัตร เนติบัณฑิตยสภา 2514
ดูเถิด ผมเขียนเรื่องอื่นเเสร็จแล้วทั้งสองเรื่อง แต่ต้องถ่วงไว้เพราะอยากเสนอประชาชนมันห่วย รัฐบาลมันก็ห่วย ตอน 2 ให้จบ
ขอให้ถือว่า “ไหนว่าคนดีมีมากกว่าคนเลว” เป็นตอนที่ 2 ก็แล้วกัน โปรดกลับไปอ่านตอนที่ 1 รวมทั้งเรื่องที่มาคั่น คือ เรื่องสังคมไทยยอมให้พรรคเถื่อนยึดอำนาจรัฐ
พรรคเถื่อนนั้นคือทุกพรรคนับตั้งแต่ทักษิณ “หักดิบ” ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ครองอำนาจต่อ “หักดิบ” แปลว่าโมเมเอาคำวินิจฉัย 2 ประเด็นซึ่งแยกกันเอามารวมกัน เลยได้จำนวนเกินครึ่ง แล้วโมเมนับผิด อ้างว่าทักษิณถูก สังคมไทยก็เลยตามเลยไปตามนั้น ผมโวยวายอยู่คนเดียวจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อองค์กรและคนทั้งบ้านทั้งเมืองสมยอมตามกันไปหมด
นี่คือคำถามและคำตอบว่า ไหนว่าคนดีมีมากกว่าคนเลว แต่ทำไมจึงได้แต่รัฐบาลจไร้จไร ผู้พิสูจน์อักษรอย่าไปแก้เป็นจัญไร้จัญไรเข้านะครับ
ตกลงที่อ้างว่า คนดีของเรา ของดีของเรา ความดีเรา มีมากกว่าคนเลว ของเลว ความเลว มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าปล่อยให้คนส่วนน้อยมันขึ้นมามีอำนาจบริหารบ้านเมืองตามอำเภอใจเพื่อตนเองและพวกพ้องรวมทั้งพี่รัก ชู้รัก ลูกน้องรัก พวกจไร้จไรเหมือนกันหมด
บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในแผ่นดินทั้งทหาร พลเรือน สื่อ นักวิชาการ ผู้พิพากษา ตระลาการ ศาล ป.ป.ช. -กกต. ต่างก็เงียบงันไปหมด เหมือนถูกเขาเอาธนบัตรมายัดตูด ลืมพระบรมราโชวาทที่ในหลวงทรงตักเตือนขอร้องไว้โดยไม่มีเยื่อใยให้
“ฯลฯ ส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” (พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ 2512)
ถามว่า นานมาแค่ไหนแล้ว ที่เราไม่สามารถคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ ใช่หรือไม่
ถ้าบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในแผ่นดินทั้งทหาร พลเรือน สื่อ นักวิชาการ ผู้พิพากษา ตระลาการ ศาล ป.ป.ช. -กกต. ดาหน้ากันออกมาตอบผมว่า ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เด็ดขาด
เห็นไหมเมื่อ 2-3 ปีนี้ ฯพณฯ รัฐบุรุษยังไปควงแขน ยิ้มแก้มปริกับนายกรัฐมนตรี ในมหกรรมดนตรีฉลองความสำเร็จการปราบมหาอุทกภัย เพื่อประเทศไทยเดินหน้าสามัคคีปรองดอง
ผมคิดมากไปเอง ผมมองโลกในแง่ร้ายไปสักหน่อยกระมั้ง
อีกไม่กี่วันก็จะมีผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เช่น เลขาสหประชาชาติสัญชาติเกาหลีผมจำชื่อไม่ได้ อดีตเลขาสหประชาชาติ โคฟี อันนัน อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ เจ้าของรางวัลสันติภาพ เดินสายมาสอนวิธีให้คนไทยรู้จักปรองดอง
ถ้ามันทำสำเร็จ ผมก็จะพิจารณาตัวเองต่อไป
แต่ผมขอยืนยันว่า ยังมีคนที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง และเป็นห่วงชาติบ้านเมือง เช่น ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการกฤษฎีกา เพื่อนร่วมร่างรัฐธรรมนูญปี 2516-2517 ที่ล้มเหลวรุ่นเดียวกับผม ได้เขียนจนมือแทบหัก พูดและแสดงปาฐกถามาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญปี 2534 ว่า เมืองไทยมันเลวทรามต่ำช้าลงทุกที เพราะอำนาจการเมืองที่ครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเมือง มันถูกครอบงำอีกต่อหนึ่งด้วยนักการเมืองสารพัดชั่วที่ใช้เงินซื้ออำนาจ อำนาจหาเงินและผูกขาดอำนาจการเมืองและธุรกิจเอาไว้หมด เป็นเผด็จการทุนนิยมพลเรือนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเผด็จการทหาร ตราบใดที่เราไม่มีรัฐบุรุษออกมานำแก้ไข เราไม่มีทางที่จะแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เอื้อประโยชน์คนเหล่านี้ ประเทศของเราก็จะต่ำทรามลงเรื่อยๆ
เมื่อ 6 ก.พ. ที่กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ได้จัดงานเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ “วิกฤตประเทศไทย ใครคือตัวการ?” ได้เชิญดร.อมร มากล่าวปาฐกถานำเรื่อง “รัฐธรรมนูญของประเทศไทย จากระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. 2535 มาเป็นระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภา” ดร.อมร ได้ตอกย้ำจุดยืนเดิม และเห็นว่าไทยจะเดินหน้าไปสู่หายนะหากไม่แก้ไข นักการเมืองที่ไหนจะมาแก้รัฐธรรมนูญให้ตนเสียประโยชน์ มีแต่มันจะเอามากขึ้นไม่ว่า
กลุ่มประชาภิวัฒน์ได้ประกาศ 5 จุดยืน ดังนี้ 1. สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีคุณค่าต่อสังคมและระบบการเมืองไทย 2. สนับสนุนการปฏิรูประบอบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย เพื่อขจัดอิทธิพลของเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน 3. ขจัดวิกฤตเสรีภาพที่มีการใช้สิทธิและเสรีภาพเกินขอบเขตจนนำไปสู่สังคมแบบอนาธิปไตย 4. ขจัดความคิดและความเชื่อที่ว่าสูตรสำเร็จของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งเท่านั้น และ 5. ขจัดวิกฤตในด้านศีลธรรมและจริยธรรมที่ก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจและการทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ข้อสรุปในบทความแรก ประชาชนห่วยก็ได้รัฐบาลห่วย แตกดอกออกไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น ประชาชนเป็นอย่างไร ก็ได้รัฐบาลอย่างนั้น, รัฐบาลมันห่วย ก็เพราะประชาชนมันห่วย, ประชาชนมันห่วย รัฐบาลมันก็ห่วย, ประชาชนมันโง่ รัฐบาลมันก็โง่, ประชาชนเหี้ย รัฐบาลมันก็เหี้ย, ประชาชนโกง รัฐบาลมันก็โกง, ประชาชนโลภ รัฐบาลมันก็โลภ, ประชาชนมันขายตัว รัฐบาลมันก็ขายตัว, ประชาชนมันขายชาติ รัฐบาลมันก็ขายชาติ, ประชาชนมันมั่ว รัฐบาลมันก็มั่ว, ประชาชนมันทำยังไงก็ได้ รัฐบาลมันก็ทำยังไงก็ได้ (กูจะไปเกรงใจพวกมึงหาพระแสงอะไร)
ประชาชนมักง่าย รัฐบาลมันก็มักง่าย, ประชาชนมันบูชาเงิน รัฐบาลมันก็บูชาเงิน, ประชาชนมันชอบให้หลอก รัฐบาลมันก็ชอบหลอก, ประชาชนไม่เอาไหน รัฐบาลมันก็ไม่เอาไหน, ประชาชนมันคด รัฐบาลมันก็คด, ประชาชนเบี้ยว รัฐบาลมันก็เบี้ยว, ประชาชนเงียบ รัฐบาลมันก็ได้ใจ, ประชาชนยิ่งเงียบ รัฐบาลมันก็ยิ่งได้ใจ, ประชาชนควาย รัฐบาลก็ควาย, ประชาชนจัญไร รัฐบาลมันก็จัญไร
บทคัดลอกที่ 2 ของ Joseph de Maistre เป็นการตีความไม่ตรงประเด็น ความจริงเขาต้องการอธิบายว่า Toute nation a le gouvernement qu’elle mérite คือ การปกครองต้องให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและลักษณะของบ้านเมืองและประชาชน ต้องมีปัญญาปรับใช้ อย่าไปลอกเขามาผิดๆ เช่น GDP และตัวเลขความเจริญต่างๆ ทางอุตสาหกรรม
de Maistre เดือดร้อนมากที่ฝรั่งเศสกลายเป็นสาธารณรัฐ เพราะคิดว่าสถาบันกษัตริย์เหมาะสมกับฝรั่งเศสมากกว่า
เมื่อใคร่ครวญพระบรมราโชวาทข้างบนว่า
“บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะยังความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นเองได้ ต้องตราขึ้นตามสภาพการณ์ และสภาพชีวิตที่แท้จริงของบ้านเมืองและบุคคล…
การนำบทบัญญัติที่ปฏิบัติไม่ได้ตามสภาพที่เป็นจริงของชีวิต มาบังคับใช้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน แตกแยก ในชาติและประชาชน”
จริงยิ่งกว่าจริง ใช่หรือไม่ ผมแน่ใจว่าทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เขียนขึ้นมาโดย ส.ส.ร.โดยพรรคประชาธิปัตย์ โดยพรรคไทยรักไทย และพรรคเถื่อนทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ล้วนแล้วแต่มีลักษณะและมีผลให้บ้านเมืองเสียหายเป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน แตกแยก ในชาติและประชาชนทั้งสิ้น
แล้วเราจะไว้ใจให้บุคคลเหล่านี้นำพาชาติไปสู่ความสุขสวัสดีด้วยการแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ อีกหรือ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะจัดระเบียบและฟื้นฟูบูรณะประเทศชาติแบบไทย อย่าให้พวกมันมายุ่ง
ให้โลกเขาลือว่าเรานี้หรือคือคนไทย
ดูเถิด ผมเขียนเรื่องอื่นเเสร็จแล้วทั้งสองเรื่อง แต่ต้องถ่วงไว้เพราะอยากเสนอประชาชนมันห่วย รัฐบาลมันก็ห่วย ตอน 2 ให้จบ
ขอให้ถือว่า “ไหนว่าคนดีมีมากกว่าคนเลว” เป็นตอนที่ 2 ก็แล้วกัน โปรดกลับไปอ่านตอนที่ 1 รวมทั้งเรื่องที่มาคั่น คือ เรื่องสังคมไทยยอมให้พรรคเถื่อนยึดอำนาจรัฐ
พรรคเถื่อนนั้นคือทุกพรรคนับตั้งแต่ทักษิณ “หักดิบ” ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ครองอำนาจต่อ “หักดิบ” แปลว่าโมเมเอาคำวินิจฉัย 2 ประเด็นซึ่งแยกกันเอามารวมกัน เลยได้จำนวนเกินครึ่ง แล้วโมเมนับผิด อ้างว่าทักษิณถูก สังคมไทยก็เลยตามเลยไปตามนั้น ผมโวยวายอยู่คนเดียวจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อองค์กรและคนทั้งบ้านทั้งเมืองสมยอมตามกันไปหมด
นี่คือคำถามและคำตอบว่า ไหนว่าคนดีมีมากกว่าคนเลว แต่ทำไมจึงได้แต่รัฐบาลจไร้จไร ผู้พิสูจน์อักษรอย่าไปแก้เป็นจัญไร้จัญไรเข้านะครับ
ตกลงที่อ้างว่า คนดีของเรา ของดีของเรา ความดีเรา มีมากกว่าคนเลว ของเลว ความเลว มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าปล่อยให้คนส่วนน้อยมันขึ้นมามีอำนาจบริหารบ้านเมืองตามอำเภอใจเพื่อตนเองและพวกพ้องรวมทั้งพี่รัก ชู้รัก ลูกน้องรัก พวกจไร้จไรเหมือนกันหมด
บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในแผ่นดินทั้งทหาร พลเรือน สื่อ นักวิชาการ ผู้พิพากษา ตระลาการ ศาล ป.ป.ช. -กกต. ต่างก็เงียบงันไปหมด เหมือนถูกเขาเอาธนบัตรมายัดตูด ลืมพระบรมราโชวาทที่ในหลวงทรงตักเตือนขอร้องไว้โดยไม่มีเยื่อใยให้
“ฯลฯ ส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” (พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ 2512)
ถามว่า นานมาแค่ไหนแล้ว ที่เราไม่สามารถคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ ใช่หรือไม่
ถ้าบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในแผ่นดินทั้งทหาร พลเรือน สื่อ นักวิชาการ ผู้พิพากษา ตระลาการ ศาล ป.ป.ช. -กกต. ดาหน้ากันออกมาตอบผมว่า ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เด็ดขาด
เห็นไหมเมื่อ 2-3 ปีนี้ ฯพณฯ รัฐบุรุษยังไปควงแขน ยิ้มแก้มปริกับนายกรัฐมนตรี ในมหกรรมดนตรีฉลองความสำเร็จการปราบมหาอุทกภัย เพื่อประเทศไทยเดินหน้าสามัคคีปรองดอง
ผมคิดมากไปเอง ผมมองโลกในแง่ร้ายไปสักหน่อยกระมั้ง
อีกไม่กี่วันก็จะมีผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เช่น เลขาสหประชาชาติสัญชาติเกาหลีผมจำชื่อไม่ได้ อดีตเลขาสหประชาชาติ โคฟี อันนัน อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ เจ้าของรางวัลสันติภาพ เดินสายมาสอนวิธีให้คนไทยรู้จักปรองดอง
ถ้ามันทำสำเร็จ ผมก็จะพิจารณาตัวเองต่อไป
แต่ผมขอยืนยันว่า ยังมีคนที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง และเป็นห่วงชาติบ้านเมือง เช่น ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการกฤษฎีกา เพื่อนร่วมร่างรัฐธรรมนูญปี 2516-2517 ที่ล้มเหลวรุ่นเดียวกับผม ได้เขียนจนมือแทบหัก พูดและแสดงปาฐกถามาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญปี 2534 ว่า เมืองไทยมันเลวทรามต่ำช้าลงทุกที เพราะอำนาจการเมืองที่ครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเมือง มันถูกครอบงำอีกต่อหนึ่งด้วยนักการเมืองสารพัดชั่วที่ใช้เงินซื้ออำนาจ อำนาจหาเงินและผูกขาดอำนาจการเมืองและธุรกิจเอาไว้หมด เป็นเผด็จการทุนนิยมพลเรือนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเผด็จการทหาร ตราบใดที่เราไม่มีรัฐบุรุษออกมานำแก้ไข เราไม่มีทางที่จะแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เอื้อประโยชน์คนเหล่านี้ ประเทศของเราก็จะต่ำทรามลงเรื่อยๆ
เมื่อ 6 ก.พ. ที่กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ได้จัดงานเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ “วิกฤตประเทศไทย ใครคือตัวการ?” ได้เชิญดร.อมร มากล่าวปาฐกถานำเรื่อง “รัฐธรรมนูญของประเทศไทย จากระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. 2535 มาเป็นระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภา” ดร.อมร ได้ตอกย้ำจุดยืนเดิม และเห็นว่าไทยจะเดินหน้าไปสู่หายนะหากไม่แก้ไข นักการเมืองที่ไหนจะมาแก้รัฐธรรมนูญให้ตนเสียประโยชน์ มีแต่มันจะเอามากขึ้นไม่ว่า
กลุ่มประชาภิวัฒน์ได้ประกาศ 5 จุดยืน ดังนี้ 1. สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีคุณค่าต่อสังคมและระบบการเมืองไทย 2. สนับสนุนการปฏิรูประบอบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย เพื่อขจัดอิทธิพลของเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน 3. ขจัดวิกฤตเสรีภาพที่มีการใช้สิทธิและเสรีภาพเกินขอบเขตจนนำไปสู่สังคมแบบอนาธิปไตย 4. ขจัดความคิดและความเชื่อที่ว่าสูตรสำเร็จของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งเท่านั้น และ 5. ขจัดวิกฤตในด้านศีลธรรมและจริยธรรมที่ก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจและการทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ข้อสรุปในบทความแรก ประชาชนห่วยก็ได้รัฐบาลห่วย แตกดอกออกไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น ประชาชนเป็นอย่างไร ก็ได้รัฐบาลอย่างนั้น, รัฐบาลมันห่วย ก็เพราะประชาชนมันห่วย, ประชาชนมันห่วย รัฐบาลมันก็ห่วย, ประชาชนมันโง่ รัฐบาลมันก็โง่, ประชาชนเหี้ย รัฐบาลมันก็เหี้ย, ประชาชนโกง รัฐบาลมันก็โกง, ประชาชนโลภ รัฐบาลมันก็โลภ, ประชาชนมันขายตัว รัฐบาลมันก็ขายตัว, ประชาชนมันขายชาติ รัฐบาลมันก็ขายชาติ, ประชาชนมันมั่ว รัฐบาลมันก็มั่ว, ประชาชนมันทำยังไงก็ได้ รัฐบาลมันก็ทำยังไงก็ได้ (กูจะไปเกรงใจพวกมึงหาพระแสงอะไร)
ประชาชนมักง่าย รัฐบาลมันก็มักง่าย, ประชาชนมันบูชาเงิน รัฐบาลมันก็บูชาเงิน, ประชาชนมันชอบให้หลอก รัฐบาลมันก็ชอบหลอก, ประชาชนไม่เอาไหน รัฐบาลมันก็ไม่เอาไหน, ประชาชนมันคด รัฐบาลมันก็คด, ประชาชนเบี้ยว รัฐบาลมันก็เบี้ยว, ประชาชนเงียบ รัฐบาลมันก็ได้ใจ, ประชาชนยิ่งเงียบ รัฐบาลมันก็ยิ่งได้ใจ, ประชาชนควาย รัฐบาลก็ควาย, ประชาชนจัญไร รัฐบาลมันก็จัญไร
บทคัดลอกที่ 2 ของ Joseph de Maistre เป็นการตีความไม่ตรงประเด็น ความจริงเขาต้องการอธิบายว่า Toute nation a le gouvernement qu’elle mérite คือ การปกครองต้องให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและลักษณะของบ้านเมืองและประชาชน ต้องมีปัญญาปรับใช้ อย่าไปลอกเขามาผิดๆ เช่น GDP และตัวเลขความเจริญต่างๆ ทางอุตสาหกรรม
de Maistre เดือดร้อนมากที่ฝรั่งเศสกลายเป็นสาธารณรัฐ เพราะคิดว่าสถาบันกษัตริย์เหมาะสมกับฝรั่งเศสมากกว่า
เมื่อใคร่ครวญพระบรมราโชวาทข้างบนว่า
“บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะยังความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นเองได้ ต้องตราขึ้นตามสภาพการณ์ และสภาพชีวิตที่แท้จริงของบ้านเมืองและบุคคล…
การนำบทบัญญัติที่ปฏิบัติไม่ได้ตามสภาพที่เป็นจริงของชีวิต มาบังคับใช้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน แตกแยก ในชาติและประชาชน”
จริงยิ่งกว่าจริง ใช่หรือไม่ ผมแน่ใจว่าทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เขียนขึ้นมาโดย ส.ส.ร.โดยพรรคประชาธิปัตย์ โดยพรรคไทยรักไทย และพรรคเถื่อนทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ล้วนแล้วแต่มีลักษณะและมีผลให้บ้านเมืองเสียหายเป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน แตกแยก ในชาติและประชาชนทั้งสิ้น
แล้วเราจะไว้ใจให้บุคคลเหล่านี้นำพาชาติไปสู่ความสุขสวัสดีด้วยการแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ อีกหรือ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะจัดระเบียบและฟื้นฟูบูรณะประเทศชาติแบบไทย อย่าให้พวกมันมายุ่ง
ให้โลกเขาลือว่าเรานี้หรือคือคนไทย