“เมื่อผู้ปกครองประเทศ(ไม่)สุจริตและยุติธรรม เสนาบดีก็จะ(ไม่)สุจริตและยุติธรรม เมื่อเสนาบดี(ไม่)สุจริตและยุติธรรม ข้าราชการผู้ใหญ่ก็จะ(ไม่)สุจริตและยุติธรรม เมื่อข้าราชการผู้ใหญ่(ไม่)สุจริตและยุติธรรม ข้าราชการผู้น้อยก็จะ(ไม่)สุจริตและยุติธรรม เมื่อข้าราชการผู้น้อย(ไม่)สุจริตยุติธรรมราษฎรก็จะ(ไม่)สุจริตและยุติธรรม สังคมก็จะ(ไม่)เป็นสุขสวัสดี” (อังคุตตรนิกาย)
ท่านผู้อ่านที่เคารพ นอกจากคำว่า(ไม่)ตัวโตขีดเส้นใต้ในวงเล็บแล้ว ทั้งหมดแปลมาจากพระบาลีดั้งเดิมในอังคุตตรนิกาย ที่บ้านบ่นว่า ทำไมบทความผมภาษาอังกฤษเต็มไปหมด ผมก็จะแก้ตัวว่าไม่จริงเลย ผมมิใช่คนที่พูดไทยคำพูดอังกฤษคำ หรือเอะอะไรก็อ้างทฤษฎีฝรั่ง แต่ที่ผมคัดลอกคติฝรั่งหรือนำกรณีของฝรั่งมาเป็นตัวอย่างก็เพื่อจะหักล้างผู้ที่เอาคติหรือทฤษฎีฝรั่งผิดๆ มาอ้างเสียจนคนไทยหลงเชื่อและนำมายึดถือเป็นสรณะ
ผมพร้อมที่จะยกบาลีมา 84,000 พระธรรมขันธ์ แต่คนที่สนใจอยากไปค้นคว้าในภาษาอังกฤษต่อเพื่อจับโกหกฝรั่งและชนชั้นนำของเมืองไทยก็คงจะไม่พอใจ
ผมอยากขอให้ท่านผู้อ่านใคร่ครวญว่าสังคมที่เดือดร้อนไม่เป็นสุขสวัสดี เพราะราษฎรซื้อสิทธิขายเสียงและละเมิดกฎหมายยอมเป็นเครื่องมือของอำนาจนั้นด้วยเหตุใด เพราะคำว่า(ไม่)ที่เราเติมลงไปในอังคุตตรนิกายใช่หรือไม่
ถ้าตอบว่าใช่ ถามว่าจะต้องแก้ที่ตรงไหนก่อน ก็ต้องตอบว่าแก้ที่ผู้ปกครองประเทศใช่หรือไม่
เพราะผู้ปกครองประเทศที่ไม่สุจริตยุติธรรม ก็จะทำให้การปกครองประเทศขาดความชอบธรรม
ถ้าผู้ปกครองประเทศมิทำให้การปกครองประเทศมีความชอบธรรม ประชาชนย่อมจะมีสิทธิล้มล้างการปกครองและผู้ปกครองประเทศใช่หรือไม่
ผมเคยตอบคำถามมาแล้วในบทความเรื่อง “การล้มล้างรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในทัศนะพุทธ” (8 ธ.ค. 2548) ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ รัฐบาลได้ล้มไปแล้วถึง 5 รัฐบาล คือ รัฐบาลทักษิณ สุรยุทธ์ สมัคร สมชาย และอภิสิทธิ์ เป็นการล้มด้วยอากัปกิริยาต่างๆ กัน แต่พอจะสรุปได้ว่าล้วนแต่ล้มเพราะรัฐบาลเองเห็นความจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงมิได้ด้วยกันทั้งนั้น
จึงต้องถามต่อว่า รัฐบาลใดบ้างที่ผมเห็นว่าขาดความชอบธรรม คำตอบของผมก็คงจะเป็น “ทั้งหมด” หากจะยกเว้นบ้างว่าไม่เป็นดั่งข้อความข้างต้นที่คัดมาจากอังคุตตรนิกายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เห็นจะเป็นรัฐบาลสุรยุทธ์ เพราะมีองค์ประกอบต่างกับรัฐบาลอื่นๆ ที่เกิดมาจากสภา ซึ่งผมเรียกว่า สภาจกเปรตทั้งสิ้น
ดังนั้นคำว่ารัฐบาลในที่นี้ มิได้หมายความถึงคณะรัฐมนตรีของผู้นั้นผู้นี้ หากหมายรวมถึงระบอบการเมืองด้วยพรรคที่ศาสตราจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ เรียกว่า เผด็จการ(รัฐสภา)ทุนนิยม
คณะรัฐมนตรีหรือองค์ประกอบทั้งหมดของทุกรัฐบาลในระบอบพรรคการเมืองปัจจุบัน รวมทั้งรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ จึงเป็นต้นเหตุของสภาพไร้ความสุขสวัสดีของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในทัศนะพุทธทุกรัฐบาล
นอกจากในอังคุตตรนิกายข้างต้นแล้ว ในจักรวรรดิ สีหนันทศสูตรพระพุทธเจ้าทรงอธิบายถึงความเสื่อมศีลธรรมจรรยาอันนำไปสู่โจรกรรม อาสัตย์ การแก่งแย่งชิงดี ความเกลียดขึ้งประสงค์ร้าย ทั้งหมดจะนำบ้านเมืองไปสู่ความลำบากยากจน ซึ่งไม่สามารถจะแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลัง แต่ด้วยธรรม และความเมตตากรุณา และในพระสูตรอื่นๆ ทรงแนะนำการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพุทธคล้ายกับเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง และทรงย้ำว่านี่คือวิธีพัฒนาที่แท้จริง ต้องไม่ใช้อำนาจ
ผมจะไม่พูดถึงทศพิธราชธรรมซึ่งเป็นที่รู้ดีอยู่แล้ว และจะข้ามไปตอนที่สนุก ว่าแม้แต่พระพุทธองค์ก็ทรงตระหนักว่า การต่อสู้ระหว่างธรรม กับอธรรมด้วยกำลังนั้นเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงมิได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น ผู้มีธรรมก็จะต้องเป็นผู้ที่กล้า
ใน “ขุรัปปชาดก” เรื่อง “ ถึงคราวกล้าควรกล้า” พระพุทธองค์เสวยชาติเป็นผู้พิทักษ์คาราวานสมบัติ มีโศลกว่าดังนี้
ถาม “เมื่อท่านเห็นพวกโจรยิงลูกธนูอันแหลม ถือดาบอันคมกล้า ซึ่งขัดแล้วด้วยน้ำมัน เมื่อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เหตุไฉนหนอ ท่านจึงไม่มีความครั่นคร้าม
ตอบ เมื่อเราเห็นพวกโจรยิงลูกธนูอันแหลม ถือดาบอันคมกล้า ซึ่งขัดแล้วด้วยน้ำมัน เมื่อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เรากลับได้ความยินดี และโสมนัสมากยิ่ง
เรานั้นเกิดความยินดีและโสมนัสแล้ว ก็ครอบงำศัตรูทั้งหลายเสียได้ เพราะว่าชีวิตของเราๆ ได้สละมาแต่ก่อนแล้ว เราไม่ได้ทำความอาลัยในชีวิต บุคคลผู้กล้าหาญพึงกระทำกิจของคนกล้า ในกาลบางคราว”
ใน “มิลินทปัญหา” พระนาคเสน อรหันตสาวกของพระพุทธเจ้าลงมาเสวยชาติ ตอบพระเจ้ามิลินท์ว่า
“หากบุคคล ขาดคุณสมบัติที่ดี ไร้ความสามารถ ไร้ศีลธรรมจรรยา ไม่เหมาะสม ได้ขึ้นบัลลังก์มาเป็นใหญ่ มีอำนาจมากเพียงใด เขาจะถูกฉีกเนื้อ และลงฑัณฑ์โดยประชาชน เพราะเขามิได้ขึ้นมาและมิได้อยู่ในอำนาจด้วยความชอบธรรม ผู้ปกครองเยี่ยงนี้ เหมือนผู้ปกครองทั้งหลายที่ฝ่าฝืน ทำลายศีลธรรมจรรยา และกฎเกณฑ์ของสังคมก็จะถูกประชาทัณฑ์เยี่ยงเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปกครองที่ประพฤติตนเหมือนโจรปล้นสมบัติของแผ่นดิน”
พระพุทธองค์ทรงเปรียบผู้ปกครองว่า “คนพาลผู้สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต ปกครองหมู่คณะ ตกอยู่ในอำนาจจิตของตนแล้ว พึงนอนตาย เหมือนลิงจ่าฝูงนอนตายอยู่ ฉะนั้น”
ผมขอจบด้วยฉากอันระทึกใน “ปลายิชาดก:ว่าด้วยขับไล่ศัตรูแบบสายฟ้าแลบ” ดังนี้
“เมืองตักศิลาถูกเขาล้อมไว้ทุกด้านแล้ว ด้วยกองพลช้างตัวประเสริฐ ซึ่งร้องคำรณอยู่ด้านหนึ่ง ด้วยกองพลม้าตัวประเสริฐ ซึ่งคลุมมาลาเครื่องครบอยู่ด้านหนึ่ง ด้วยกองพลรถ ดุจคลื่นในมหาสมุทรอันยังฝนคือ ลูกศรให้ตกลงด้านหนึ่ง ด้วยกองพลเดินเท้า ถือธนูมั่นมีฝีมือยิงแม่นอยู่ด้านหนึ่ง ท่านทั้งหลายจงรีบรุกเข้าไป และจงรีบบุกเข้าไป จงไสช้างให้หนุนเนื่องกันเข้าไปเลย จงโห่ร้องให้สนั่นหวั่นไหวในวันนี้ ดุจสายฟ้าอันซ่าน ออกจากกลีบเมฆคำรณอยู่ ฉะนั้น”
“ธงสำหรับรถของเรามีมากมาย พลพาหนะของเราก็นับไม่ถ้วนแสนยากที่ศัตรูจะหาญหักเข้าสู้รบได้ ดุจสาครยากที่ฝูงกาจะบินข้ามให้ถึงฝั่งได้ ฉะนั้น อนึ่ง กองพลของเรานี้ยากที่กองพลอื่นจะหาญเข้าตีหักได้ดุจภูเขา อันลมไม่อาจให้ไหวได้ ฉะนั้น วันนี้ เราประกอบด้วยกองพลเท่านี้ อันกองพลเช่นนั้นยากที่ศัตรูจะหาญหักเข้ารุกรานได้”
ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า กองทัพแดงอันเกรียงไกรข้างต้นนั้นจะกำชัย เพราะนั่นเป็นกองทัพของรัฐบาลอาธรรม
กองทัพที่จะกำชัยคือกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้าที่เสวยชาติมาปราบยุคเข็ญต่างหาก พระองค์ตรัสว่า
“คนเช่นท่านอย่าพูดเพ้อถึงความที่ตนเป็นคนโง่เขลาไปเลย คนเช่นท่านจะเรียกว่า ผู้สามารถไม่ได้ ท่านถูกความเร่าร้อน คือ ราคะ โทสะ โมหะ และมานะ เผารนอยู่เสมอ ไม่อาจจะกำจัดเราได้เลย จะต้องหนีเราไป กองพลของเราจักย่ำยีท่านหมดทั้งกองพล ดุจช้างเมามันขยี้ไม้อ้อด้วยเท้า ฉะนั้น”
ท่านที่สนใจโปรดอ่านพระอรรถกถาเอาเอง เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ท่านผู้อ่านที่เคารพ นอกจากคำว่า(ไม่)ตัวโตขีดเส้นใต้ในวงเล็บแล้ว ทั้งหมดแปลมาจากพระบาลีดั้งเดิมในอังคุตตรนิกาย ที่บ้านบ่นว่า ทำไมบทความผมภาษาอังกฤษเต็มไปหมด ผมก็จะแก้ตัวว่าไม่จริงเลย ผมมิใช่คนที่พูดไทยคำพูดอังกฤษคำ หรือเอะอะไรก็อ้างทฤษฎีฝรั่ง แต่ที่ผมคัดลอกคติฝรั่งหรือนำกรณีของฝรั่งมาเป็นตัวอย่างก็เพื่อจะหักล้างผู้ที่เอาคติหรือทฤษฎีฝรั่งผิดๆ มาอ้างเสียจนคนไทยหลงเชื่อและนำมายึดถือเป็นสรณะ
ผมพร้อมที่จะยกบาลีมา 84,000 พระธรรมขันธ์ แต่คนที่สนใจอยากไปค้นคว้าในภาษาอังกฤษต่อเพื่อจับโกหกฝรั่งและชนชั้นนำของเมืองไทยก็คงจะไม่พอใจ
ผมอยากขอให้ท่านผู้อ่านใคร่ครวญว่าสังคมที่เดือดร้อนไม่เป็นสุขสวัสดี เพราะราษฎรซื้อสิทธิขายเสียงและละเมิดกฎหมายยอมเป็นเครื่องมือของอำนาจนั้นด้วยเหตุใด เพราะคำว่า(ไม่)ที่เราเติมลงไปในอังคุตตรนิกายใช่หรือไม่
ถ้าตอบว่าใช่ ถามว่าจะต้องแก้ที่ตรงไหนก่อน ก็ต้องตอบว่าแก้ที่ผู้ปกครองประเทศใช่หรือไม่
เพราะผู้ปกครองประเทศที่ไม่สุจริตยุติธรรม ก็จะทำให้การปกครองประเทศขาดความชอบธรรม
ถ้าผู้ปกครองประเทศมิทำให้การปกครองประเทศมีความชอบธรรม ประชาชนย่อมจะมีสิทธิล้มล้างการปกครองและผู้ปกครองประเทศใช่หรือไม่
ผมเคยตอบคำถามมาแล้วในบทความเรื่อง “การล้มล้างรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในทัศนะพุทธ” (8 ธ.ค. 2548) ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ รัฐบาลได้ล้มไปแล้วถึง 5 รัฐบาล คือ รัฐบาลทักษิณ สุรยุทธ์ สมัคร สมชาย และอภิสิทธิ์ เป็นการล้มด้วยอากัปกิริยาต่างๆ กัน แต่พอจะสรุปได้ว่าล้วนแต่ล้มเพราะรัฐบาลเองเห็นความจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงมิได้ด้วยกันทั้งนั้น
จึงต้องถามต่อว่า รัฐบาลใดบ้างที่ผมเห็นว่าขาดความชอบธรรม คำตอบของผมก็คงจะเป็น “ทั้งหมด” หากจะยกเว้นบ้างว่าไม่เป็นดั่งข้อความข้างต้นที่คัดมาจากอังคุตตรนิกายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เห็นจะเป็นรัฐบาลสุรยุทธ์ เพราะมีองค์ประกอบต่างกับรัฐบาลอื่นๆ ที่เกิดมาจากสภา ซึ่งผมเรียกว่า สภาจกเปรตทั้งสิ้น
ดังนั้นคำว่ารัฐบาลในที่นี้ มิได้หมายความถึงคณะรัฐมนตรีของผู้นั้นผู้นี้ หากหมายรวมถึงระบอบการเมืองด้วยพรรคที่ศาสตราจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ เรียกว่า เผด็จการ(รัฐสภา)ทุนนิยม
คณะรัฐมนตรีหรือองค์ประกอบทั้งหมดของทุกรัฐบาลในระบอบพรรคการเมืองปัจจุบัน รวมทั้งรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ จึงเป็นต้นเหตุของสภาพไร้ความสุขสวัสดีของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในทัศนะพุทธทุกรัฐบาล
นอกจากในอังคุตตรนิกายข้างต้นแล้ว ในจักรวรรดิ สีหนันทศสูตรพระพุทธเจ้าทรงอธิบายถึงความเสื่อมศีลธรรมจรรยาอันนำไปสู่โจรกรรม อาสัตย์ การแก่งแย่งชิงดี ความเกลียดขึ้งประสงค์ร้าย ทั้งหมดจะนำบ้านเมืองไปสู่ความลำบากยากจน ซึ่งไม่สามารถจะแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลัง แต่ด้วยธรรม และความเมตตากรุณา และในพระสูตรอื่นๆ ทรงแนะนำการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพุทธคล้ายกับเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง และทรงย้ำว่านี่คือวิธีพัฒนาที่แท้จริง ต้องไม่ใช้อำนาจ
ผมจะไม่พูดถึงทศพิธราชธรรมซึ่งเป็นที่รู้ดีอยู่แล้ว และจะข้ามไปตอนที่สนุก ว่าแม้แต่พระพุทธองค์ก็ทรงตระหนักว่า การต่อสู้ระหว่างธรรม กับอธรรมด้วยกำลังนั้นเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงมิได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น ผู้มีธรรมก็จะต้องเป็นผู้ที่กล้า
ใน “ขุรัปปชาดก” เรื่อง “ ถึงคราวกล้าควรกล้า” พระพุทธองค์เสวยชาติเป็นผู้พิทักษ์คาราวานสมบัติ มีโศลกว่าดังนี้
ถาม “เมื่อท่านเห็นพวกโจรยิงลูกธนูอันแหลม ถือดาบอันคมกล้า ซึ่งขัดแล้วด้วยน้ำมัน เมื่อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เหตุไฉนหนอ ท่านจึงไม่มีความครั่นคร้าม
ตอบ เมื่อเราเห็นพวกโจรยิงลูกธนูอันแหลม ถือดาบอันคมกล้า ซึ่งขัดแล้วด้วยน้ำมัน เมื่อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เรากลับได้ความยินดี และโสมนัสมากยิ่ง
เรานั้นเกิดความยินดีและโสมนัสแล้ว ก็ครอบงำศัตรูทั้งหลายเสียได้ เพราะว่าชีวิตของเราๆ ได้สละมาแต่ก่อนแล้ว เราไม่ได้ทำความอาลัยในชีวิต บุคคลผู้กล้าหาญพึงกระทำกิจของคนกล้า ในกาลบางคราว”
ใน “มิลินทปัญหา” พระนาคเสน อรหันตสาวกของพระพุทธเจ้าลงมาเสวยชาติ ตอบพระเจ้ามิลินท์ว่า
“หากบุคคล ขาดคุณสมบัติที่ดี ไร้ความสามารถ ไร้ศีลธรรมจรรยา ไม่เหมาะสม ได้ขึ้นบัลลังก์มาเป็นใหญ่ มีอำนาจมากเพียงใด เขาจะถูกฉีกเนื้อ และลงฑัณฑ์โดยประชาชน เพราะเขามิได้ขึ้นมาและมิได้อยู่ในอำนาจด้วยความชอบธรรม ผู้ปกครองเยี่ยงนี้ เหมือนผู้ปกครองทั้งหลายที่ฝ่าฝืน ทำลายศีลธรรมจรรยา และกฎเกณฑ์ของสังคมก็จะถูกประชาทัณฑ์เยี่ยงเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปกครองที่ประพฤติตนเหมือนโจรปล้นสมบัติของแผ่นดิน”
พระพุทธองค์ทรงเปรียบผู้ปกครองว่า “คนพาลผู้สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต ปกครองหมู่คณะ ตกอยู่ในอำนาจจิตของตนแล้ว พึงนอนตาย เหมือนลิงจ่าฝูงนอนตายอยู่ ฉะนั้น”
ผมขอจบด้วยฉากอันระทึกใน “ปลายิชาดก:ว่าด้วยขับไล่ศัตรูแบบสายฟ้าแลบ” ดังนี้
“เมืองตักศิลาถูกเขาล้อมไว้ทุกด้านแล้ว ด้วยกองพลช้างตัวประเสริฐ ซึ่งร้องคำรณอยู่ด้านหนึ่ง ด้วยกองพลม้าตัวประเสริฐ ซึ่งคลุมมาลาเครื่องครบอยู่ด้านหนึ่ง ด้วยกองพลรถ ดุจคลื่นในมหาสมุทรอันยังฝนคือ ลูกศรให้ตกลงด้านหนึ่ง ด้วยกองพลเดินเท้า ถือธนูมั่นมีฝีมือยิงแม่นอยู่ด้านหนึ่ง ท่านทั้งหลายจงรีบรุกเข้าไป และจงรีบบุกเข้าไป จงไสช้างให้หนุนเนื่องกันเข้าไปเลย จงโห่ร้องให้สนั่นหวั่นไหวในวันนี้ ดุจสายฟ้าอันซ่าน ออกจากกลีบเมฆคำรณอยู่ ฉะนั้น”
“ธงสำหรับรถของเรามีมากมาย พลพาหนะของเราก็นับไม่ถ้วนแสนยากที่ศัตรูจะหาญหักเข้าสู้รบได้ ดุจสาครยากที่ฝูงกาจะบินข้ามให้ถึงฝั่งได้ ฉะนั้น อนึ่ง กองพลของเรานี้ยากที่กองพลอื่นจะหาญเข้าตีหักได้ดุจภูเขา อันลมไม่อาจให้ไหวได้ ฉะนั้น วันนี้ เราประกอบด้วยกองพลเท่านี้ อันกองพลเช่นนั้นยากที่ศัตรูจะหาญหักเข้ารุกรานได้”
ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า กองทัพแดงอันเกรียงไกรข้างต้นนั้นจะกำชัย เพราะนั่นเป็นกองทัพของรัฐบาลอาธรรม
กองทัพที่จะกำชัยคือกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้าที่เสวยชาติมาปราบยุคเข็ญต่างหาก พระองค์ตรัสว่า
“คนเช่นท่านอย่าพูดเพ้อถึงความที่ตนเป็นคนโง่เขลาไปเลย คนเช่นท่านจะเรียกว่า ผู้สามารถไม่ได้ ท่านถูกความเร่าร้อน คือ ราคะ โทสะ โมหะ และมานะ เผารนอยู่เสมอ ไม่อาจจะกำจัดเราได้เลย จะต้องหนีเราไป กองพลของเราจักย่ำยีท่านหมดทั้งกองพล ดุจช้างเมามันขยี้ไม้อ้อด้วยเท้า ฉะนั้น”
ท่านที่สนใจโปรดอ่านพระอรรถกถาเอาเอง เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้