ยุคนี้ สื่อกระจายข่าวได้อย่างทั่วถึงภายในพริบตา การยึดครองสื่อไว้ให้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจึงมีความสำคัญต่อการเข้าสู่และครองอำนาจของนักการเมืองมากกว่าในสมัยก่อน ยิ่งสำหรับนักการเมืองกะล่อนผู้มักใช้การเล่นลิ้นปลิ้นปล้อนบิดเบือนด้วยแล้ว สื่อคือเครื่องมือสำคัญอันดับแรก
การเล่นลิ้นทำได้หลายวิธี เนื่องจากคอลัมน์นี้พูดถึงอีเมลดา ภรรยาของประธานาธิบดีจอมโกงเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงขอยกตัวอย่างการบริหารด้วยการเล่นลิ้นของอีเมลดาในสมัยที่เธอเป็นนายกเทศมนตรีกรุงมะนิลา ตอนนั้นผมเช่าบ้านอยู่ไม่ห่างจากแหล่งเสื่อมโทรม หรือสลัมขนาดใหญ่ในเมืองนั้น ผมจำวิธีกำจัดสลัมของเธอได้แบบติดตาแม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว นั่นคือ เธอสั่งให้สร้างรั้วสังกะสีทึบสูงท่วมหัวรอบสลัมแล้วทาด้วยสีเขียวสด เหนือประตูเข้าสลัมเธอให้เขียนป้ายขนาดใหญ่ด้วยใจความว่า “ศูนย์สันทนาการ” หลังจากนั้นอีเมลดาก็ออกมาเล่นลิ้นว่ามะนิลาหาสลัมมิได้อีกต่อไปแล้ว
ย้อนไปหลายปี เมื่อมีนักการเมืองคุยโม้ว่าจะแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ได้ภายใน 6 เดือนและจะขจัดความยากจนของคนไทยได้ภายใน 6 ปี ผมท้าว่าถ้าคำจำกัดความของการจราจรที่ดีและความยากจนตรงตามหลักสากลละก็ เขาทำไม่ได้และขอให้ต่างเอาหัวขึ้นเขียงเป็นเดิมพันกัน ปรากฏว่าไม่มีนักการเมืองหน้าด้านหน้าทนคนไหนรับคำท้า ต่อมาก็มีเรื่องใช้หนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนดเวลาซึ่งถูกบิดเบือนว่าเป็นการปลดพันธนาการของชาติ ทั้งที่การใช้หนี้นั้นไม่มีผลอะไรอย่างมีนัยสำคัญต่อการบริหารบ้านเมืองทั้งสิ้น ตรงข้ามกระบวนการเล่นลิ้นทำให้เกิดการสูญสิ้นเป็นจำนวนมากเนื่องจากรัฐบาลใช้แรงงานและเงินซื้อธงชาติมาติดทั่วเมืองเป็นการฉลองเอกราช ไม่นานธงชาติก็เปลี่ยนเป็นสีขี้เป็ดด้วยท่อไอเสียของรถ ส่วนการซื้อธงจะซื้อจากพรรคพวกของนักการเมืองคนไหนแบบเอื้อให้เกิดกำไรชนิดปอกกล้วยเข้าปากหรือไม่ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่
มาถึงตอนนี้ เริ่มมีการปูทางสร้างภาระหนี้ให้ประเทศชาติผ่านการโยกย้ายหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและการขายหุ้นของรัฐใน ปตท. 2% ซึ่งจะทำให้ ปตท.หมดสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ ก่อนจะพูดถึงเรื่องหนี้ต่อ ขอตั้งข้อสังเกตว่าการทำให้ ปตท.หมดสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจตามข้อกฎหมายคงเอื้อให้รัฐมนตรีมีทางทำธุรกิจกับ ปตท.ดังเป็นที่รู้กัน ปตท.มีงบประมาณมหาศาลเพื่อโครงการต่างๆ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ หากกิจการของรัฐมนตรีและนักการเมืองสามารถแบ่งงบไปได้เพียงไม่มาก พวกเขาก็จะร่ำรวยแบบปอกกล้วยเข้าปากอย่างรวดเร็ว
สำหรับในด้านการปูทางเพื่อสร้างหนี้ให้ประเทศชาตินั้น คงไม่ต้องเถียงกันอีกเพราะตัวการซึ่งผมตราหน้าว่าเป็นเมธีบริกรก็ยอมรับแล้วว่าการกระทำทั้งสองอย่างจะเปิดทางให้รัฐบาลกู้เงินจำนวนมหาศาลได้ง่ายขึ้น ประเด็นที่จะชี้ให้เห็นวันนี้มีสองด้านคือ ด้านแรก ตามคำจำกัดความ ภาระหนี้สินของรัฐบาลจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังการโยกย้ายและการขายหุ้นดังกล่าว
ฉะนั้น แม้รัฐบาลจะกู้เงินมาผลาญได้อีกจำนวนมหาศาลในแนวที่จะกู้ 3.5 แสนล้านบาทมาใช้ในโครงการบริหารจัดการน้ำ ภาระหนี้ก็จะยังต่ำกว่าในตอนก่อนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ (ที่พูดว่ากู้เงินมาผลาญเพราะจะทำกันแบบไม่ผ่านกระบวนการปกติอันเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจตัดหัวคิว 30% ที่เอกชนบ่นว่าต้องจ่ายได้ง่ายขึ้น) อีกไม่นานรัฐบาลก็จะใช้การเล่นลิ้นว่าตนบริหารหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิผลผ่านสื่อที่พวกตนยึดครองอยู่ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ลืมง่ายและไม่ค่อยฉลาด การสร้างผลงานด้วยการเล่นลิ้นแบบนี้จะส่งผลดีทางการเมืองให้แก่นักการเมืองขี้ฉ้อต่อไป
ด้านที่สอง หนี้คือผีปอบตัวจริงที่สิงอยู่ในระบบเศรษฐกิจทั่วโลก มันกินเครื่องในจนทำให้เศรษฐกิจประสบวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่าแต่คนส่วนใหญ่มักไม่ตระหนัก วิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นหลังตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาล่มเมื่อเดือนตุลาคม 2472 เรื่องหนี้มีอิทธิฤทธิ์จนก่อให้เกิดวิกฤตครั้งนั้นได้รับการยืนยันจากการวิจัยของศาสตราจารย์เออร์วิง ฟิสเชอร์ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าของมหาวิทยาลัยเยล ผู้อยากรู้อาจค้นดูผลการวิจัยได้ในอินเทอร์เน็ต
วิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรงมากรองลงมาได้แก่ครั้งที่ยังเรื้อรังอยู่ในวันนี้ ซึ่งเกิดจากภาวะหนี้ล้นพ้นตัวในประเทศก้าวหน้าทั้งในอเมริกาและยุโรป ความเรื้อรังของวิกฤตครั้งนี้ยังมีผลให้เห็นโดยเฉพาะการล้มละลายของไอร์แลนด์ โปรตุเกส และกรีซ และการที่สเปนและอิตาลีก็กำลังตกอยู่ในภาวะลูกผีลูกคน ความเรื้อรังเป็นผลจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจของโลกได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้นโยบายที่เคยใช้ได้ผลมาก่อนใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้งบประมาณขาดดุล การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบ หรือการลดดอกเบี้ย
บทเรียนและภาวะที่พูดถึงเหล่านี้บ่งชี้ว่าเราไม่ควรสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย แต่รัฐบาลกลับยึดแนวนโยบายคล้ายจะรับใช้ผีปอบ การกระทำเช่นนี้มีเงื่อนงำสูงยิ่งจนทำให้เรื่องการตัดหัวคิว 30% มีฐานของความเป็นจริงแน่นอน การสร้างภาระหนี้สินจนล้นพ้นจะส่งผลให้ผีปอบกินเมืองไทย ครั้งต่อไปจะพูดถึง “การบริหารด้วยการเล่นลิ้น ตอนผีปอบกินเงินสำรองของชาติ” แล้วจะเสนอว่าคนไทยที่ไม่ขี้โกง ไม่โง่ และไม่ดูดายควรทำอะไรกับพวกรับใช้ผีปอบ
การเล่นลิ้นทำได้หลายวิธี เนื่องจากคอลัมน์นี้พูดถึงอีเมลดา ภรรยาของประธานาธิบดีจอมโกงเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงขอยกตัวอย่างการบริหารด้วยการเล่นลิ้นของอีเมลดาในสมัยที่เธอเป็นนายกเทศมนตรีกรุงมะนิลา ตอนนั้นผมเช่าบ้านอยู่ไม่ห่างจากแหล่งเสื่อมโทรม หรือสลัมขนาดใหญ่ในเมืองนั้น ผมจำวิธีกำจัดสลัมของเธอได้แบบติดตาแม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว นั่นคือ เธอสั่งให้สร้างรั้วสังกะสีทึบสูงท่วมหัวรอบสลัมแล้วทาด้วยสีเขียวสด เหนือประตูเข้าสลัมเธอให้เขียนป้ายขนาดใหญ่ด้วยใจความว่า “ศูนย์สันทนาการ” หลังจากนั้นอีเมลดาก็ออกมาเล่นลิ้นว่ามะนิลาหาสลัมมิได้อีกต่อไปแล้ว
ย้อนไปหลายปี เมื่อมีนักการเมืองคุยโม้ว่าจะแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ได้ภายใน 6 เดือนและจะขจัดความยากจนของคนไทยได้ภายใน 6 ปี ผมท้าว่าถ้าคำจำกัดความของการจราจรที่ดีและความยากจนตรงตามหลักสากลละก็ เขาทำไม่ได้และขอให้ต่างเอาหัวขึ้นเขียงเป็นเดิมพันกัน ปรากฏว่าไม่มีนักการเมืองหน้าด้านหน้าทนคนไหนรับคำท้า ต่อมาก็มีเรื่องใช้หนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนดเวลาซึ่งถูกบิดเบือนว่าเป็นการปลดพันธนาการของชาติ ทั้งที่การใช้หนี้นั้นไม่มีผลอะไรอย่างมีนัยสำคัญต่อการบริหารบ้านเมืองทั้งสิ้น ตรงข้ามกระบวนการเล่นลิ้นทำให้เกิดการสูญสิ้นเป็นจำนวนมากเนื่องจากรัฐบาลใช้แรงงานและเงินซื้อธงชาติมาติดทั่วเมืองเป็นการฉลองเอกราช ไม่นานธงชาติก็เปลี่ยนเป็นสีขี้เป็ดด้วยท่อไอเสียของรถ ส่วนการซื้อธงจะซื้อจากพรรคพวกของนักการเมืองคนไหนแบบเอื้อให้เกิดกำไรชนิดปอกกล้วยเข้าปากหรือไม่ยังเป็นที่สงสัยกันอยู่
มาถึงตอนนี้ เริ่มมีการปูทางสร้างภาระหนี้ให้ประเทศชาติผ่านการโยกย้ายหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและการขายหุ้นของรัฐใน ปตท. 2% ซึ่งจะทำให้ ปตท.หมดสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ ก่อนจะพูดถึงเรื่องหนี้ต่อ ขอตั้งข้อสังเกตว่าการทำให้ ปตท.หมดสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจตามข้อกฎหมายคงเอื้อให้รัฐมนตรีมีทางทำธุรกิจกับ ปตท.ดังเป็นที่รู้กัน ปตท.มีงบประมาณมหาศาลเพื่อโครงการต่างๆ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ หากกิจการของรัฐมนตรีและนักการเมืองสามารถแบ่งงบไปได้เพียงไม่มาก พวกเขาก็จะร่ำรวยแบบปอกกล้วยเข้าปากอย่างรวดเร็ว
สำหรับในด้านการปูทางเพื่อสร้างหนี้ให้ประเทศชาตินั้น คงไม่ต้องเถียงกันอีกเพราะตัวการซึ่งผมตราหน้าว่าเป็นเมธีบริกรก็ยอมรับแล้วว่าการกระทำทั้งสองอย่างจะเปิดทางให้รัฐบาลกู้เงินจำนวนมหาศาลได้ง่ายขึ้น ประเด็นที่จะชี้ให้เห็นวันนี้มีสองด้านคือ ด้านแรก ตามคำจำกัดความ ภาระหนี้สินของรัฐบาลจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังการโยกย้ายและการขายหุ้นดังกล่าว
ฉะนั้น แม้รัฐบาลจะกู้เงินมาผลาญได้อีกจำนวนมหาศาลในแนวที่จะกู้ 3.5 แสนล้านบาทมาใช้ในโครงการบริหารจัดการน้ำ ภาระหนี้ก็จะยังต่ำกว่าในตอนก่อนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ (ที่พูดว่ากู้เงินมาผลาญเพราะจะทำกันแบบไม่ผ่านกระบวนการปกติอันเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจตัดหัวคิว 30% ที่เอกชนบ่นว่าต้องจ่ายได้ง่ายขึ้น) อีกไม่นานรัฐบาลก็จะใช้การเล่นลิ้นว่าตนบริหารหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิผลผ่านสื่อที่พวกตนยึดครองอยู่ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ลืมง่ายและไม่ค่อยฉลาด การสร้างผลงานด้วยการเล่นลิ้นแบบนี้จะส่งผลดีทางการเมืองให้แก่นักการเมืองขี้ฉ้อต่อไป
ด้านที่สอง หนี้คือผีปอบตัวจริงที่สิงอยู่ในระบบเศรษฐกิจทั่วโลก มันกินเครื่องในจนทำให้เศรษฐกิจประสบวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่าแต่คนส่วนใหญ่มักไม่ตระหนัก วิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นหลังตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาล่มเมื่อเดือนตุลาคม 2472 เรื่องหนี้มีอิทธิฤทธิ์จนก่อให้เกิดวิกฤตครั้งนั้นได้รับการยืนยันจากการวิจัยของศาสตราจารย์เออร์วิง ฟิสเชอร์ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าของมหาวิทยาลัยเยล ผู้อยากรู้อาจค้นดูผลการวิจัยได้ในอินเทอร์เน็ต
วิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรงมากรองลงมาได้แก่ครั้งที่ยังเรื้อรังอยู่ในวันนี้ ซึ่งเกิดจากภาวะหนี้ล้นพ้นตัวในประเทศก้าวหน้าทั้งในอเมริกาและยุโรป ความเรื้อรังของวิกฤตครั้งนี้ยังมีผลให้เห็นโดยเฉพาะการล้มละลายของไอร์แลนด์ โปรตุเกส และกรีซ และการที่สเปนและอิตาลีก็กำลังตกอยู่ในภาวะลูกผีลูกคน ความเรื้อรังเป็นผลจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจของโลกได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้นโยบายที่เคยใช้ได้ผลมาก่อนใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้งบประมาณขาดดุล การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบ หรือการลดดอกเบี้ย
บทเรียนและภาวะที่พูดถึงเหล่านี้บ่งชี้ว่าเราไม่ควรสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย แต่รัฐบาลกลับยึดแนวนโยบายคล้ายจะรับใช้ผีปอบ การกระทำเช่นนี้มีเงื่อนงำสูงยิ่งจนทำให้เรื่องการตัดหัวคิว 30% มีฐานของความเป็นจริงแน่นอน การสร้างภาระหนี้สินจนล้นพ้นจะส่งผลให้ผีปอบกินเมืองไทย ครั้งต่อไปจะพูดถึง “การบริหารด้วยการเล่นลิ้น ตอนผีปอบกินเงินสำรองของชาติ” แล้วจะเสนอว่าคนไทยที่ไม่ขี้โกง ไม่โง่ และไม่ดูดายควรทำอะไรกับพวกรับใช้ผีปอบ