การอนุมัติเงินสองพันกว่าล้านเพื่อเยียวยาและปลอบใจกลุ่มคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเมื่อปี 2553 เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่แคร์ต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ใช้ข้ออ้างเพื่อความปรองดองตามข้อเสนอของ คอป. ซึ่งมี อ.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ขณะนี้อยู่ระหว่างที่คณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์กำลังดำเนินการอยู่ ท่ามกลางความฮึกเหิมของคนเสื้อแดง ก็มีเสียงเรียกร้องทำนองเดียวกันนี้กับพี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ จนกระทั่งรัฐเองต้องออกมายอมรับว่าจะปรับให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
หากไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้ ต่อไปในอนาคตเราจะหาเงินมาจากไหนเพื่อจ่ายให้กับผู้เสียชีวิตถึงรายละ 7.5 ล้านบาท ยังไม่นับผู้บาดเจ็บทุพพลภาพอีกจำนวนมากมาย จะยกเลิกก็ลำบากใจ ปล่อยต่อไปก็เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศ
เงินเดือนข้าราชการขั้นต่ำที่จะปรับให้เป็น 15,000 บาทถือเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างทางเงินเดือนครั้งใหญ่ในระบบราชการไทย ขณะเดียวกันผลที่ตามมาก็คือการซื้อใจให้ข้าราชการมาจงรักภักดีต่อรัฐบาลด้วยเงิน เพื่อนครูบาอาจารย์และข้าราชการตำรวจหลายรายที่เคยได้รับเงินเพิ่มจากรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เปิดเผยอย่างชัดเจนว่าเป็นพวกเสื้อแดงเพราะได้รับเงินเพิ่มขึ้น ไม่ได้สนใจเรื่องบ้านเมืองใดๆ ชาวบ้านทั่วไปที่จงรักภักดีต่อพรรคไทยรักไทย
จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นพรรคเพื่อไทยต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สาเหตุที่ชื่นชอบพรรคนี้เพราะไม่เคยมีใครเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใช้เงินได้มากเท่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้ว่าเงินกองทุนหมู่บ้านจะมีเหตุฟ้องร้องกันมากมาย คนหมู่บ้านเดียวกันต้องมาทะเลาะโกรธเคืองกันเพราะเงิน แต่คนที่กู้ยืมเงินไปแล้วก็ยังหวังว่าหาก ทักษิณ ชินวัตร กลับมา จะยกหนี้ให้หรือไม่ก็อนุมัติวงเงินเพิ่มให้อีก ซึ่งต่อมาเขาก็เพิ่มเงินให้จริงๆ
นโยบายของพรรคเพื่อไทยถูกเตรียมการมานานแล้ว ทั้งหมดคือคำตอบของสโลแกนที่หาเสียงไว้ว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” แม้แต่นายกรัฐมนตรีอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่จำเป็นต้องมีสมองไว้คิดอะไรเลย คนเขารู้กันทั้งโลก ไม่ใช่แค่คนในประเทศเท่านั้น การได้อำนาจครั้งนี้ถูกวางแผนมาอย่างดี ผิดพลาดมาสองรัฐบาล ครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่แผนกินรวบประเทศไทยต้องจบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการกลับสู่ประเทศไทยอย่างยิ่งใหญ่ ปราศจากโทษและมลทิน รวมทั้งได้รับทรัพย์สินทุกบาททุกสตางค์ที่ศาลสั่งยึดทรัพย์ไปนั้น กลับคืนมาทุกบาททุกสตางค์ โดย ส.ส.พรรคเพื่อไทยและนปช.แดงทั้งแผ่นดินต้องเดินเกมตามหมากที่วางไว้
ล่าสุดคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเงินกองทุนพัฒนาสตรี 77 จังหวัด จังหวัดละ 100 ล้านบาทตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ เดิมทีพรรคไทยรักไทยได้เคยจัดตั้งกลุ่มแม่บ้านและเครือข่ายสตรีในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ แม้กระทั่งสภาสตรีแห่งชาติครั้งหนึ่งก็ผลักดันให้ เยาวเรศ ชินวัตร น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปเป็นประธาน ครั้งนี้เขาได้สานต่อจากนโยบายเดิมโดยเอาเงินทุ่มลงไปในจังหวัดต่างๆ ทั้งกองทุนหมู่บ้านที่เพิ่มขึ้น และจัดตั้งกองทุนพัฒนาสตรีอีกกว่า 7 พันล้านบาท นับเป็นการซื้อใจหรือซื้อเสียงล่วงหน้าโดยใช้งบประมาณแผ่นดิน ไม่ต้องควักกระเป๋าเองสักแดงเดียว วันนี้กลุ่มสตรีที่ไม่ใช่พรรคพวกของพรรคเพื่อไทยนั่งทำตาปริบๆ น้ำลายหก เพราะเขากันไม่ให้เข้าไปใกล้กองเงินเหล่านั้น
ในขณะที่กองทุนหมู่บ้านก็กำลังสร้างความแตกแยกครั้งใหม่และหนี้ก้อนโตให้กับคนจนในชนบทอีกครั้ง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรือนัยหนึ่งคือรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร กำลังซื้อประเทศนี้ด้วยเงิน มอมเมาและสร้างความขัดแย้งไปทั่วทุกวงการ ไม่เว้นแม้กระทั่งวงการสงฆ์ก็เคยทำมาแล้ว และกำลังเดินหน้าทำต่อไป โดยในระหว่างหาเสียง คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้เคยประกาศไว้ชัดเจนอย่างอหังการว่า “เราจะสังคายนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า”
วันนี้รัฐบาลกำลังถูกกระหน่ำว่ามีเอี่ยวกับกลุ่มนิติราษฎร์ที่โหมกระแสแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ทำให้เกิดความไม่พอใจต่อประชาชนกลุ่มต่างๆ ในหลายจังหวัดและพากันลุกขึ้นมาต่อต้าน ทหารเริ่มเสียงขุ่น มีการปล่อยข่าวจากนายจตุพร ถึงเรื่องข่าวกรองเกี่ยวกับการปฏิวัติที่อ้างว่าจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน แผนจัดงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” จึงจัดขึ้นอย่างกะทันหันเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นและลดกระแสสังคม โดยข้ออ้างเพื่อขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือเรื่องน้ำท่วม และสร้างบรรยากาศแห่งการเดินหน้าประเทศไทยด้วยความปรองดองด้วยการเชิญพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี มาเป็นประธานในงาน
นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า “...ไม่ใช่มาฉลองเพื่อความสำเร็จ แต่มาเพื่อการแลกเปลี่ยน...” นายกฯ พูดอยู่คนเดียว ตลอดงานมีแต่เสียงเพลงดังกระหึ่ม ใครจะแลกเปลี่ยนอะไรกันได้ นอกจากมองตาของ Lady Four Seasons ที่ส่งสายตาขอความเห็นใจต่อประชาชน ทูตจากนานาประเทศที่มาในงานก็เพียงเพื่อมาร่วมเป็นพยานว่า ป๋ากับปู จะกู้อีจู้ (ประเทศไทย) ร่วมกัน อำมาตย์วัย 90 กว่าๆ กับนายกฯ วัย 40 กว่าๆ ก็สามารถร่วมฟังเพลงด้วยกัน จับมือและส่งยิ้มให้กันเพื่อส่งสัญญาณไม่เอาเป็นเอาตาย บทเพลงอันไพเราะถ้าบรรเลงอย่างถูกที่ถูกเวลาก็คงจะดีกว่านี้มาก แต่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานจะกินบ้านกินเมืองแบบนี้ จะให้คนมาซาบซึ้งในสุนทรียทางดนตรีคงจะเป็นไปได้ยาก ยิ่งบทเพลงที่นำมาแสดงมันแสลงใจบรรดาเสื้อแดงฮาร์ดคอร์จนแทบกระอักเลือด ฝ่ายเสื้อเหลืองบางคนก็ทนไม่ได้ที่ป๋ากับปูนั่งจู๋จี๋กันเหมือนไม่เคยมีอะไรโกรธเคือง
งานวันเฉลิมฯ ถูกตัดงบประมาณ งดการแสดงโดยอ้างความประหยัด แต่จัดงานขอบคุณที่ทำน้ำท่วมประชาชนและสร้างภาพปรองดองผลาญเงินไป 10 ล้าน หลายคนรับไม่ได้กับการจัดงานครั้งนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ใครได้ ใครเสีย ฉากต่อไปจะเป็นอะไรอีก
ฤๅป๋าก็เป็นเช่นคนไทยทั่วไปที่ลืมง่าย ฤๅนี่จะเป็นการเริ่มต้นปรองดองของอำมาตย์ เหลืองแดงล้วนเป็นเหยื่อกระนั้นหรือ?
หากไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้ ต่อไปในอนาคตเราจะหาเงินมาจากไหนเพื่อจ่ายให้กับผู้เสียชีวิตถึงรายละ 7.5 ล้านบาท ยังไม่นับผู้บาดเจ็บทุพพลภาพอีกจำนวนมากมาย จะยกเลิกก็ลำบากใจ ปล่อยต่อไปก็เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศ
เงินเดือนข้าราชการขั้นต่ำที่จะปรับให้เป็น 15,000 บาทถือเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างทางเงินเดือนครั้งใหญ่ในระบบราชการไทย ขณะเดียวกันผลที่ตามมาก็คือการซื้อใจให้ข้าราชการมาจงรักภักดีต่อรัฐบาลด้วยเงิน เพื่อนครูบาอาจารย์และข้าราชการตำรวจหลายรายที่เคยได้รับเงินเพิ่มจากรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เปิดเผยอย่างชัดเจนว่าเป็นพวกเสื้อแดงเพราะได้รับเงินเพิ่มขึ้น ไม่ได้สนใจเรื่องบ้านเมืองใดๆ ชาวบ้านทั่วไปที่จงรักภักดีต่อพรรคไทยรักไทย
จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นพรรคเพื่อไทยต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สาเหตุที่ชื่นชอบพรรคนี้เพราะไม่เคยมีใครเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใช้เงินได้มากเท่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้ว่าเงินกองทุนหมู่บ้านจะมีเหตุฟ้องร้องกันมากมาย คนหมู่บ้านเดียวกันต้องมาทะเลาะโกรธเคืองกันเพราะเงิน แต่คนที่กู้ยืมเงินไปแล้วก็ยังหวังว่าหาก ทักษิณ ชินวัตร กลับมา จะยกหนี้ให้หรือไม่ก็อนุมัติวงเงินเพิ่มให้อีก ซึ่งต่อมาเขาก็เพิ่มเงินให้จริงๆ
นโยบายของพรรคเพื่อไทยถูกเตรียมการมานานแล้ว ทั้งหมดคือคำตอบของสโลแกนที่หาเสียงไว้ว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” แม้แต่นายกรัฐมนตรีอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่จำเป็นต้องมีสมองไว้คิดอะไรเลย คนเขารู้กันทั้งโลก ไม่ใช่แค่คนในประเทศเท่านั้น การได้อำนาจครั้งนี้ถูกวางแผนมาอย่างดี ผิดพลาดมาสองรัฐบาล ครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่แผนกินรวบประเทศไทยต้องจบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการกลับสู่ประเทศไทยอย่างยิ่งใหญ่ ปราศจากโทษและมลทิน รวมทั้งได้รับทรัพย์สินทุกบาททุกสตางค์ที่ศาลสั่งยึดทรัพย์ไปนั้น กลับคืนมาทุกบาททุกสตางค์ โดย ส.ส.พรรคเพื่อไทยและนปช.แดงทั้งแผ่นดินต้องเดินเกมตามหมากที่วางไว้
ล่าสุดคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเงินกองทุนพัฒนาสตรี 77 จังหวัด จังหวัดละ 100 ล้านบาทตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ เดิมทีพรรคไทยรักไทยได้เคยจัดตั้งกลุ่มแม่บ้านและเครือข่ายสตรีในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ แม้กระทั่งสภาสตรีแห่งชาติครั้งหนึ่งก็ผลักดันให้ เยาวเรศ ชินวัตร น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปเป็นประธาน ครั้งนี้เขาได้สานต่อจากนโยบายเดิมโดยเอาเงินทุ่มลงไปในจังหวัดต่างๆ ทั้งกองทุนหมู่บ้านที่เพิ่มขึ้น และจัดตั้งกองทุนพัฒนาสตรีอีกกว่า 7 พันล้านบาท นับเป็นการซื้อใจหรือซื้อเสียงล่วงหน้าโดยใช้งบประมาณแผ่นดิน ไม่ต้องควักกระเป๋าเองสักแดงเดียว วันนี้กลุ่มสตรีที่ไม่ใช่พรรคพวกของพรรคเพื่อไทยนั่งทำตาปริบๆ น้ำลายหก เพราะเขากันไม่ให้เข้าไปใกล้กองเงินเหล่านั้น
ในขณะที่กองทุนหมู่บ้านก็กำลังสร้างความแตกแยกครั้งใหม่และหนี้ก้อนโตให้กับคนจนในชนบทอีกครั้ง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรือนัยหนึ่งคือรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร กำลังซื้อประเทศนี้ด้วยเงิน มอมเมาและสร้างความขัดแย้งไปทั่วทุกวงการ ไม่เว้นแม้กระทั่งวงการสงฆ์ก็เคยทำมาแล้ว และกำลังเดินหน้าทำต่อไป โดยในระหว่างหาเสียง คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้เคยประกาศไว้ชัดเจนอย่างอหังการว่า “เราจะสังคายนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า”
วันนี้รัฐบาลกำลังถูกกระหน่ำว่ามีเอี่ยวกับกลุ่มนิติราษฎร์ที่โหมกระแสแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ทำให้เกิดความไม่พอใจต่อประชาชนกลุ่มต่างๆ ในหลายจังหวัดและพากันลุกขึ้นมาต่อต้าน ทหารเริ่มเสียงขุ่น มีการปล่อยข่าวจากนายจตุพร ถึงเรื่องข่าวกรองเกี่ยวกับการปฏิวัติที่อ้างว่าจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน แผนจัดงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” จึงจัดขึ้นอย่างกะทันหันเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นและลดกระแสสังคม โดยข้ออ้างเพื่อขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือเรื่องน้ำท่วม และสร้างบรรยากาศแห่งการเดินหน้าประเทศไทยด้วยความปรองดองด้วยการเชิญพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี มาเป็นประธานในงาน
นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า “...ไม่ใช่มาฉลองเพื่อความสำเร็จ แต่มาเพื่อการแลกเปลี่ยน...” นายกฯ พูดอยู่คนเดียว ตลอดงานมีแต่เสียงเพลงดังกระหึ่ม ใครจะแลกเปลี่ยนอะไรกันได้ นอกจากมองตาของ Lady Four Seasons ที่ส่งสายตาขอความเห็นใจต่อประชาชน ทูตจากนานาประเทศที่มาในงานก็เพียงเพื่อมาร่วมเป็นพยานว่า ป๋ากับปู จะกู้อีจู้ (ประเทศไทย) ร่วมกัน อำมาตย์วัย 90 กว่าๆ กับนายกฯ วัย 40 กว่าๆ ก็สามารถร่วมฟังเพลงด้วยกัน จับมือและส่งยิ้มให้กันเพื่อส่งสัญญาณไม่เอาเป็นเอาตาย บทเพลงอันไพเราะถ้าบรรเลงอย่างถูกที่ถูกเวลาก็คงจะดีกว่านี้มาก แต่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานจะกินบ้านกินเมืองแบบนี้ จะให้คนมาซาบซึ้งในสุนทรียทางดนตรีคงจะเป็นไปได้ยาก ยิ่งบทเพลงที่นำมาแสดงมันแสลงใจบรรดาเสื้อแดงฮาร์ดคอร์จนแทบกระอักเลือด ฝ่ายเสื้อเหลืองบางคนก็ทนไม่ได้ที่ป๋ากับปูนั่งจู๋จี๋กันเหมือนไม่เคยมีอะไรโกรธเคือง
งานวันเฉลิมฯ ถูกตัดงบประมาณ งดการแสดงโดยอ้างความประหยัด แต่จัดงานขอบคุณที่ทำน้ำท่วมประชาชนและสร้างภาพปรองดองผลาญเงินไป 10 ล้าน หลายคนรับไม่ได้กับการจัดงานครั้งนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ใครได้ ใครเสีย ฉากต่อไปจะเป็นอะไรอีก
ฤๅป๋าก็เป็นเช่นคนไทยทั่วไปที่ลืมง่าย ฤๅนี่จะเป็นการเริ่มต้นปรองดองของอำมาตย์ เหลืองแดงล้วนเป็นเหยื่อกระนั้นหรือ?