รอยเตอร์ – เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง นักเศรษฐศาสตร์ยังฟันธงว่า เศรษฐกิจอเมริกาจะชะลอตัวรุนแรงตั้งแต่ต้นปีนี้ หลายคนเตือนว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยนั้นชัดเจนขึ้นทุกที
กระนั้น การคาดการณ์แง่ลบดังกล่าวเริ่มสั่นคลอนจากข่าวดีอย่างน่าประหลาดใจ ตั้งแต่ตลาดแรงงานที่เริ่มฟื้นตัว ภาคอุตสาหกรรมการผลิตเดินหน้า และภาคบริการขยายตัว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข่าวดีสำหรับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่จะเผชิญศึกเลือกตั้งตอนต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
เหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกนักเศรษฐศาสตร์ต้องหันกลับมามองโลกแง่ดีคือ อัตราจ้างงานที่ขยับขึ้นซึ่งจะช่วยส่งเสริมการใช้จ่ายของผู้บริโภค อันเป็นองค์ประกอบถึง 2 ใน 3 ของกิจกรรมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
แม้แต่พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ที่เฝ้าผลักดันให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมานานหลายปี ยังออกปากในบทความที่เขียนลงประจำในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ว่า การฟื้นตัวครั้งนี้เริ่มอยู่ในภาวะประคับประคองตัวเองได้แล้ว
เดือนที่ผ่านมา มีการจ้างงานเพิ่ม 243,000 ตำแหน่ง มากที่สุดในรอบ 9 เดือน ขณะที่อัตราว่างงานลดลงต่ำสุดในรอบ 3 ปี อยู่ที่ 8.3%
ขณะเดียวกัน กิจกรรมอุตสาหกรรมการผลิตขยับขึ้นติดกันเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนมกราคม โดยคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตจะยังเข้มแข็งต่อไป
นอกจากนี้ กิจกรรมภาคบริการในเดือนเดียวกันยังเข้มแข็งที่สุดในรอบเกือบปี
ฮาร์ม แบนด์ฮอลซ์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของยูนิเครดิต รีเสิร์ช ในนิวยอร์ก ชี้ว่า ความเสี่ยงด้านลบกำลังจางหายไป และแนวโน้มการเติบโตกลับเป็นในทางตรงข้าม
ฤดูร้อนปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้วของสหรัฐฯ ถูกกระหน่ำซ้ำเติมจากวิกฤตหนี้ยุโรป และการงัดข้ออันน่าอัปลักษณ์ในรัฐสภาเกี่ยวกับนโยบายงบประมาณที่ส่งผลให้อันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ถูกปรับลดจากเดิมที่ AAA
อย่างไรก็ดี แท้จริงแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยปรากฏชัดเจนอย่างมากในเดือนธันวาคม
โรเบิร์ต ดาย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของคอมเมอริกาในดัลลัส ระบุว่า ฤดูร้อนที่ผ่านมา เขาคิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาส 50-50 ที่จะถดถอย แต่ตอนนี้โอกาสนั้นลดเหลือไม่ถึง 25%
และขณะที่ชาวอเมริกันต้องนำเงินออมออกมาใช้จ่ายมากขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว การจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้นบ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นของรายได้ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
เดือนธันวาคมที่ผ่านมา รายได้ส่วนบุคคลทะยานขึ้นสูงสุดในรอบ 9 เดือน และการจ้างงานเพิ่มขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วตอกย้ำว่า แนวโน้มขาขึ้นของรายได้จะยังคงอยู่ต่อไป ส่งผลให้บริษัทในวอลล์สตรีทพากันปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจแดนอินทรี
สัปดาห์นี้ บีเอ็นพีปรับเพิ่มการคาดการณ์เศรษฐกิจไตรมาสปัจจุบันกว่าเท่าตัวเป็น 2.5% แม้ลดลงจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่อยู่ที่ 2.8% ก็ตาม
เช่นเดียวกัน ดอยช์ แบงก์คาดว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะเติบโตในอัตรา 2.8% จากเดิมที่คาดไว้ 2% และมอร์แกน สแตนเลย์ปรับเพิ่มจาก 2.0% อยู่ที่ 2.2% ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ยังคงเป้าหมายเดิมคือ 2% โดยมีข้อแม้ว่า อาจทบทวนใหม่หากยังมีข่าวเซอร์ไพรส์แง่บวกออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ 3 ใน 4 ของการเติบโตในไตรมาสส่งท้ายปีที่แล้วมาจากการกักตุนสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาครถยนต์ ซึ่งทำให้มีการคาดว่า เมื่อความพยายามในการจัดเก็บสินค้าลดลง เศรษฐกิจจะแผ่วตาม
ทว่า ยอดขายรถในเดือนมกราคมที่สูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ทำให้การคาดการ์ดังกล่าวผิดไปโดยสิ้นเชิง และขณะที่อากาศหนาวระดับแค่พอประมาณได้ช่วยกระตุ้นกิจกรรมเศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์ยิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นว่า การจ้างงานและรายได้เริ่มขับเคลื่อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
กระนั้น การคาดการณ์แง่ลบดังกล่าวเริ่มสั่นคลอนจากข่าวดีอย่างน่าประหลาดใจ ตั้งแต่ตลาดแรงงานที่เริ่มฟื้นตัว ภาคอุตสาหกรรมการผลิตเดินหน้า และภาคบริการขยายตัว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข่าวดีสำหรับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่จะเผชิญศึกเลือกตั้งตอนต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
เหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกนักเศรษฐศาสตร์ต้องหันกลับมามองโลกแง่ดีคือ อัตราจ้างงานที่ขยับขึ้นซึ่งจะช่วยส่งเสริมการใช้จ่ายของผู้บริโภค อันเป็นองค์ประกอบถึง 2 ใน 3 ของกิจกรรมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
แม้แต่พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ที่เฝ้าผลักดันให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมานานหลายปี ยังออกปากในบทความที่เขียนลงประจำในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ว่า การฟื้นตัวครั้งนี้เริ่มอยู่ในภาวะประคับประคองตัวเองได้แล้ว
เดือนที่ผ่านมา มีการจ้างงานเพิ่ม 243,000 ตำแหน่ง มากที่สุดในรอบ 9 เดือน ขณะที่อัตราว่างงานลดลงต่ำสุดในรอบ 3 ปี อยู่ที่ 8.3%
ขณะเดียวกัน กิจกรรมอุตสาหกรรมการผลิตขยับขึ้นติดกันเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนมกราคม โดยคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตจะยังเข้มแข็งต่อไป
นอกจากนี้ กิจกรรมภาคบริการในเดือนเดียวกันยังเข้มแข็งที่สุดในรอบเกือบปี
ฮาร์ม แบนด์ฮอลซ์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของยูนิเครดิต รีเสิร์ช ในนิวยอร์ก ชี้ว่า ความเสี่ยงด้านลบกำลังจางหายไป และแนวโน้มการเติบโตกลับเป็นในทางตรงข้าม
ฤดูร้อนปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้วของสหรัฐฯ ถูกกระหน่ำซ้ำเติมจากวิกฤตหนี้ยุโรป และการงัดข้ออันน่าอัปลักษณ์ในรัฐสภาเกี่ยวกับนโยบายงบประมาณที่ส่งผลให้อันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ถูกปรับลดจากเดิมที่ AAA
อย่างไรก็ดี แท้จริงแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยปรากฏชัดเจนอย่างมากในเดือนธันวาคม
โรเบิร์ต ดาย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของคอมเมอริกาในดัลลัส ระบุว่า ฤดูร้อนที่ผ่านมา เขาคิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาส 50-50 ที่จะถดถอย แต่ตอนนี้โอกาสนั้นลดเหลือไม่ถึง 25%
และขณะที่ชาวอเมริกันต้องนำเงินออมออกมาใช้จ่ายมากขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว การจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้นบ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นของรายได้ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
เดือนธันวาคมที่ผ่านมา รายได้ส่วนบุคคลทะยานขึ้นสูงสุดในรอบ 9 เดือน และการจ้างงานเพิ่มขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วตอกย้ำว่า แนวโน้มขาขึ้นของรายได้จะยังคงอยู่ต่อไป ส่งผลให้บริษัทในวอลล์สตรีทพากันปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจแดนอินทรี
สัปดาห์นี้ บีเอ็นพีปรับเพิ่มการคาดการณ์เศรษฐกิจไตรมาสปัจจุบันกว่าเท่าตัวเป็น 2.5% แม้ลดลงจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่อยู่ที่ 2.8% ก็ตาม
เช่นเดียวกัน ดอยช์ แบงก์คาดว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะเติบโตในอัตรา 2.8% จากเดิมที่คาดไว้ 2% และมอร์แกน สแตนเลย์ปรับเพิ่มจาก 2.0% อยู่ที่ 2.2% ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ยังคงเป้าหมายเดิมคือ 2% โดยมีข้อแม้ว่า อาจทบทวนใหม่หากยังมีข่าวเซอร์ไพรส์แง่บวกออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ 3 ใน 4 ของการเติบโตในไตรมาสส่งท้ายปีที่แล้วมาจากการกักตุนสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาครถยนต์ ซึ่งทำให้มีการคาดว่า เมื่อความพยายามในการจัดเก็บสินค้าลดลง เศรษฐกิจจะแผ่วตาม
ทว่า ยอดขายรถในเดือนมกราคมที่สูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ทำให้การคาดการ์ดังกล่าวผิดไปโดยสิ้นเชิง และขณะที่อากาศหนาวระดับแค่พอประมาณได้ช่วยกระตุ้นกิจกรรมเศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์ยิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นว่า การจ้างงานและรายได้เริ่มขับเคลื่อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
