รอยเตอร์ – กองททุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวเตือนเอาไว้ในรายงานทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook)ฉบับใหม่ล่าสุดว่า วิกฤตหนี้ยุโรปอาจฉุดเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย และจำเป็นต้องมีปราการป้องกันขนาดใหญ่ขึ้นโดยเร่งด่วนเพื่อควบคุมไม่ให้ความเสียหายลุกลาม
ในรายงานฉบับนี้ ไอเอ็มเอฟยังปรับลดตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจโลกประจำปี 2012 ลงมาอยู่ที่ 3.3% จากที่คาดไว้ที่ 4% เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว และเตือนว่า ตัวเลขอาจลดเหลือ 1.3% หากยุโรปปล่อยให้วิกฤตยืดเยื้อต่อไป สำหรับปีหน้านั้น ไอเอ็มเอฟคาดว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.9%
โอลิวิเยร์ บลองชาร์ด หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ กล่าวระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร (24) ว่า ศูนย์กลางอันตรายอยู่ที่ยุโรป โดยที่ส่วนอื่นๆ ของโลกขณะนี้ได้รับผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่าคือ หากวิกฤตยุโรปเลวร้ายลงอาจฉุดให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง
“ด้วยชุดมาตรการที่เหมาะสม อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดได้ รวมทั้งสามารถฟื้นตัวกลับมาอยู่กับร่องกับรอย แต่จำเป็นต้องดำเนินมาตรการเหล่านี้อย่างเร่งด่วน” บลองชาร์ดย้ำ
ไอเอ็มเอฟเรียกร้องเป็นพิเศษจาก 17 ชาติยูโรโซนที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจหดตัว 0.5% ในปีนี้
“ความท้าทายด้านนโยบายเฉพาะหน้าที่สุดคือ การฟื้นความเชื่อมั่นและยุติวิกฤตในยูโรโซนด้วยการส่งเสริมการเติบโตควบคู่ไปกับการปรับตัวอย่างยั่งยืน ควบคุมการลดการก่อหนี้ และอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม รวมทั้งใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย” ไอเอ็มเอฟระบุ
บลองชาร์ดและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ ของไอเอ็มเอฟ เน้นย้ำว่า ยุโรปจำเป็นต้องส่งเสริมกองทุนฟื้นฟูเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นของตลาด และลดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล เพื่อให้ประเทศอย่างอิตาลีและสเปนสามารถกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยที่แบกรับไหว
ทั้งนี้ การเจรจาระหว่างรัฐบาลกรีซ ซึ่งเป็นชาติที่ประสบปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะหนักหน่วงที่สุดของยูโรโซน กับพวกเจ้าหน้าภาคเอกชน กำลังประสบภาวะชะงักลงอีกครั้ง อันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่เอเธนส์อาจผิดนัดชำระหนี้ก้อนใหญ่ และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ย่อมจะทำให้วิกฤตจมลึกยิ่งขึ้น โดยวันจันทร์ที่ผ่านมา (23) คริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ เตือนว่าความล้มเหลวในการสร้างปราการป้องกันขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อต่อต้านการแพร่เชื้อทางการเงินอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรงเช่นที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1930
ทางด้าน โฆเซ ไวนาลส์ ผู้อำนวยการแผนกตลาดเงินและตลาดทุนของไอเอ็มเอฟ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยุโรปจำเป็นต้องเพิ่มขนาดกองทุนฟื้นฟูปัจจุบันที่ขณะนี้มีมูลค่า 500,000 ล้านยูโร รวมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่นของกองทุน
นอกจากช่วยเหลือชาติสมาชิกแล้ว กองทุนนี้ควรมีส่วนร่วมโดยตรงในแบงก์ที่มีปัญหาเพื่อตัดความเชื่อมโยงระหว่างความเสี่ยงของประเทศกับความเสี่ยงของธนาคารในประเทศ
สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ รายงานนี้ของไอเอ็มเอฟคงตัวเลขคาดการณ์ ประจำปีนี้เอาไว้ที่ 1.8%ตามเดิม แต่เตือนว่า ผลดีจากการเพิ่มการใช้จ่ายอาจลดทอนลงไปถ้าหากวิกฤตยุโรปลุกลาม
ในทางกลับกัน อัตราเติบโตของญี่ปุ่นถูกปรับลดลงอยู่ที่ 1.7% จากที่คาดไว้เดิม 2.3% โดยรายงานเรียกร้องให้โตเกียวทุ่มเทมากขึ้นในการลดหนี้และผลักดันมาตรการภาษีผู้บริโภค
ทางด้านกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศก้าวหน้าโดยรวม ไอเอ็มเอฟบอกว่ามีแนวโน้มขยายตัว 1.5% โดยเฉลี่ยทั้งในปีนี้และปีหน้า ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาอัตราว่างงานพุ่งสูง
ส่วนพวกเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ก็หนีไม่พ้นผลพวงวิกฤต โดยไอเอ็มเอฟคาดว่า เศรษฐกิจของกลุ่มนี้จะชะลอลงอยู่ที่ 5.4% จาก 6.2% ในปีที่ผ่านมา และจากต่ำกว่า 6.1% ที่คาดไว้เดือนกันยายนปีที่แล้ว กองทุนฯ ยังเรียกร้องให้ตลาดเกิดใหม่มุ่งเน้นนโยบายส่งเสริมการเติบโต
จีนนั้น ไอเอ็มเอฟปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตในปีนี้ลงอยู่ที่ 8.2% จาก 9.0% แต่อาจดีดกลับไปที่ 8.8% ในปีหน้า
สำหรับตลาดเกิดใหม่โตเร็วในเอเชียโดยรวม ไอเอ็มเอฟปรับลดการคาดการณ์ปี 2012 เหลือ 7.3% จากตัวเลขคาดการณ์เดิม 8%
ในส่วนราคาน้ำมันนั้นมีแนวโน้มอ่อนลงเล็กน้อยท่านั้น แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงก็ตาม ไอเอ็มเอฟสำทับว่า ราคาฐานของน้ำมันของกองทุนฯ ส่วนใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลงนับจากเดือนกันยายนปีที่แล้วที่คาดหมายไว้ที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สุดท้ายคือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ไม่รวมน้ำมันที่คาดว่าจะลดลง 14% โดยมีแนวโน้มความเสี่ยงขาลงสำหรับผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่
ในรายงานฉบับนี้ ไอเอ็มเอฟยังปรับลดตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจโลกประจำปี 2012 ลงมาอยู่ที่ 3.3% จากที่คาดไว้ที่ 4% เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว และเตือนว่า ตัวเลขอาจลดเหลือ 1.3% หากยุโรปปล่อยให้วิกฤตยืดเยื้อต่อไป สำหรับปีหน้านั้น ไอเอ็มเอฟคาดว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.9%
โอลิวิเยร์ บลองชาร์ด หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ กล่าวระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร (24) ว่า ศูนย์กลางอันตรายอยู่ที่ยุโรป โดยที่ส่วนอื่นๆ ของโลกขณะนี้ได้รับผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่าคือ หากวิกฤตยุโรปเลวร้ายลงอาจฉุดให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง
“ด้วยชุดมาตรการที่เหมาะสม อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดได้ รวมทั้งสามารถฟื้นตัวกลับมาอยู่กับร่องกับรอย แต่จำเป็นต้องดำเนินมาตรการเหล่านี้อย่างเร่งด่วน” บลองชาร์ดย้ำ
ไอเอ็มเอฟเรียกร้องเป็นพิเศษจาก 17 ชาติยูโรโซนที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจหดตัว 0.5% ในปีนี้
“ความท้าทายด้านนโยบายเฉพาะหน้าที่สุดคือ การฟื้นความเชื่อมั่นและยุติวิกฤตในยูโรโซนด้วยการส่งเสริมการเติบโตควบคู่ไปกับการปรับตัวอย่างยั่งยืน ควบคุมการลดการก่อหนี้ และอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติม รวมทั้งใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย” ไอเอ็มเอฟระบุ
บลองชาร์ดและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ ของไอเอ็มเอฟ เน้นย้ำว่า ยุโรปจำเป็นต้องส่งเสริมกองทุนฟื้นฟูเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นของตลาด และลดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล เพื่อให้ประเทศอย่างอิตาลีและสเปนสามารถกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยที่แบกรับไหว
ทั้งนี้ การเจรจาระหว่างรัฐบาลกรีซ ซึ่งเป็นชาติที่ประสบปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะหนักหน่วงที่สุดของยูโรโซน กับพวกเจ้าหน้าภาคเอกชน กำลังประสบภาวะชะงักลงอีกครั้ง อันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่เอเธนส์อาจผิดนัดชำระหนี้ก้อนใหญ่ และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ย่อมจะทำให้วิกฤตจมลึกยิ่งขึ้น โดยวันจันทร์ที่ผ่านมา (23) คริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ เตือนว่าความล้มเหลวในการสร้างปราการป้องกันขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อต่อต้านการแพร่เชื้อทางการเงินอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรงเช่นที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1930
ทางด้าน โฆเซ ไวนาลส์ ผู้อำนวยการแผนกตลาดเงินและตลาดทุนของไอเอ็มเอฟ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยุโรปจำเป็นต้องเพิ่มขนาดกองทุนฟื้นฟูปัจจุบันที่ขณะนี้มีมูลค่า 500,000 ล้านยูโร รวมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่นของกองทุน
นอกจากช่วยเหลือชาติสมาชิกแล้ว กองทุนนี้ควรมีส่วนร่วมโดยตรงในแบงก์ที่มีปัญหาเพื่อตัดความเชื่อมโยงระหว่างความเสี่ยงของประเทศกับความเสี่ยงของธนาคารในประเทศ
สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ รายงานนี้ของไอเอ็มเอฟคงตัวเลขคาดการณ์ ประจำปีนี้เอาไว้ที่ 1.8%ตามเดิม แต่เตือนว่า ผลดีจากการเพิ่มการใช้จ่ายอาจลดทอนลงไปถ้าหากวิกฤตยุโรปลุกลาม
ในทางกลับกัน อัตราเติบโตของญี่ปุ่นถูกปรับลดลงอยู่ที่ 1.7% จากที่คาดไว้เดิม 2.3% โดยรายงานเรียกร้องให้โตเกียวทุ่มเทมากขึ้นในการลดหนี้และผลักดันมาตรการภาษีผู้บริโภค
ทางด้านกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศก้าวหน้าโดยรวม ไอเอ็มเอฟบอกว่ามีแนวโน้มขยายตัว 1.5% โดยเฉลี่ยทั้งในปีนี้และปีหน้า ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาอัตราว่างงานพุ่งสูง
ส่วนพวกเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ก็หนีไม่พ้นผลพวงวิกฤต โดยไอเอ็มเอฟคาดว่า เศรษฐกิจของกลุ่มนี้จะชะลอลงอยู่ที่ 5.4% จาก 6.2% ในปีที่ผ่านมา และจากต่ำกว่า 6.1% ที่คาดไว้เดือนกันยายนปีที่แล้ว กองทุนฯ ยังเรียกร้องให้ตลาดเกิดใหม่มุ่งเน้นนโยบายส่งเสริมการเติบโต
จีนนั้น ไอเอ็มเอฟปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตในปีนี้ลงอยู่ที่ 8.2% จาก 9.0% แต่อาจดีดกลับไปที่ 8.8% ในปีหน้า
สำหรับตลาดเกิดใหม่โตเร็วในเอเชียโดยรวม ไอเอ็มเอฟปรับลดการคาดการณ์ปี 2012 เหลือ 7.3% จากตัวเลขคาดการณ์เดิม 8%
ในส่วนราคาน้ำมันนั้นมีแนวโน้มอ่อนลงเล็กน้อยท่านั้น แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงก็ตาม ไอเอ็มเอฟสำทับว่า ราคาฐานของน้ำมันของกองทุนฯ ส่วนใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลงนับจากเดือนกันยายนปีที่แล้วที่คาดหมายไว้ที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สุดท้ายคือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ไม่รวมน้ำมันที่คาดว่าจะลดลง 14% โดยมีแนวโน้มความเสี่ยงขาลงสำหรับผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่
