xs
xsm
sm
md
lg

ยกฟ้องไฮโซควงปืนทวงรถหรู ศาลชี้อ้างสิทธิ์ตามสัญญาเช่าซื้อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยกฟ้องไฮโซ “บอย เตชธีรสิริ”เจ้าของบริษัทนำเข้ารถหรู พาลูกน้องควงปืนบุกทวง “ลัมบอร์กินี” 13.5 ล้าน ศาลชี้เป็นการทวงสิทธิ์ตามสัญญาเช่าซื้อ

วานนี้(3 ก.พ.)เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 904 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.4604/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และบริษัท เวิลด์คลาส ออโตโมบิลี จำกัด ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นายภาณุศักดิ์ หรือบอย เตชธีรสิริ อายุ 26 ปี ไฮโซชื่อดังเจ้าของบริษัท ยูนิตี้ ออโต สปอร์ต จำกัด ประกอบธุรกิจนำเข้ารถยนต์หรูจากต่างประเทศ นายมนูญ สุขขาเจริญ อายุ 37 ปี, นายยิ่ง ศรีอนันต์ อายุ 34 ปี, นายเศารยะ ฐานะศิริพงศ์ อายุ 23 ปี และนายพรพจน์ มุงปัง อายุ 32 ปี เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยมีอาวุธปืนในเวลากลางคืน, ร่วมกันพยายามข่มขืนใจโดยมีอาวุธ และกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 362, 364, 365, 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ

โดยคดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่าเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2551 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยที่ 1-5 กับพวกที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 1 คน ได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในอาคารศูนย์แสดงรถยนต์ซึ่งเป็นอาคารเก็บรักษาทรัพย์และสำนักงานของบริษัท เวิลด์คลาส ออโตโมบิลี จำกัด ผู้เสียหาย โดยมีอาวุธปืนและจำเลยทั้งห้ากับพวกได้ร่วมกันพูดข่มขู่นางจินตนา สิทธิอิทธิกุล และนางพิมพ์วรา พันพันธุ์ ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทดังกล่าว เพื่อให้บุคคลทั้งสองส่งมอบรถยนต์ยี่ห้อลัมบอร์กินี สีเหลือง รุ่นกัลลาโด ยังไม่ได้จดทะเบียน ราคา 25,000,000 บาท พร้อมเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งห้ากับพวก จำเลยทั้งห้ากับพวกได้ร่วมกันกระทำความผิดดังกล่าวไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล จำเลยที่ 5 มีอาวุธปืนพกสั้นออโตเมติก ขนาด .22 ลองไรเฟิล มีทะเบียน 1 กระบอก และกระสุนปืนลูกกรด ขนาด .22 ลองไรเฟิล 7 นัด สามารถใช้ร่วมกันได้และใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุไว้ในความครอบครองของจำเลยที่ 5 โดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพกพาอาวุธปืนดังกล่าวไปที่บริษัท เวิลด์คลาส ออโตโมบิลี จำกัด เลขที่ 317 เขตบางกะปิ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต เหตุเกิดที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งห้าข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าบริษัทยูนิตี้ของจำเลยที่ 1 จำหน่ายรถยนต์ลัมบอร์กินี สีเหลือง ให้กับนายพีรพงศ์ ฤทธิเสิศนภา เมื่อเดือน พ.ย. 2551 ในราคา 13.5 ล้านบาท โดยบริษัทได้ส่งมอบรถยนต์ให้กับนายพีรพงศ์แล้วในวันทำสัญญา แต่นายพีรพงศ์ยังค้างชำระค่ารถอยู่ 6.8 ล้านบาท ต่อมาเมื่อถึงกำหนดชำระค่างวดนายพีรพงศ์กลับแจ้งว่าไม่สามารถชำระเงินส่วนที่เหลือได้ แล้วยังนำรถดังกล่าวไปแลกเป็นรถยนต์ลัมบอร์กินี สีเทา ราคา 25 ล้านบาท กับบริษัท นิชคาร์ จำกัด ในเครือบริษัท เวิลด์คลาส ออโตโมบิลี จำกัด โจทก์ร่วม ซึ่งมีการตีราคารถยนต์ลัมบอร์กินี สีเหลือง 14.8 ล้านบาท ทำให้นายพีรพงศ์จะต้องจ่ายเงินดาวน์ให้บริษัทนิชคาร์ 7 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ลัมบอร์กินี สีเทา ในราคา 18 ล้านบาท โดยในเย็นวันที่ 18 ธ.ค. 2551 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 1 ได้เข้าไปในห้องแสดงรถยนต์ของบริษัทนิชคาร์ได้พบนางผ่องศรี สุทธิรัตน์เสรีกุล กรรมการบริษัทฯ เพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์ลัมบอร์กินี สีเหลือง แต่ถูกปฏิเสธ ต่อมาได้มีการแจ้งความว่ามีการบุกรุก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปพบจำเลยทั้ง 5 เมื่อตรวจค้นก็พบอาวุธปืนในกระเป๋าสะพายของจำเลยที่ 5 จึงได้จับกุมพร้อมแจ้งข้อหาดำเนินคดี

คดีมีปัญหาว่าต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้ง 5 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าก่อนเกิดเหตุนางอัมราภรณ์ มารดาจำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 3 นำเอกสารและสมุดคู่มือประจำรถและกุญแจสำรองของรถยนต์ลัมบอร์กินี สีเหลือง ไปส่งให้บริษัทนิชคาร์ หลังจากที่นายพีรพงศ์นำรถยนต์ลัมบอร์กินี สีเหลือง ไปแลกเปลี่ยนกับบริษัทนิชคาร์ แล้วบริษัทยูนิตี้ ของจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้รับค่างวดที่เหลือ 6.8 ล้านจากนายพีรพงศ์ จึงเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ไปพบนางผ่องศรีตามวันเวลาเกิดเหตุเพื่อขอชุดจดทะเบียนรถคืน

เนื่องจากข้อตกลงในสัญญาซื้อขายระบุว่า เมื่อนางอัมราภรณ์ผู้ขายได้รับเงินครบถ้วนตามสัญญาแล้วจะโอนกรรมสิทธิ์รถให้กับนายพีรพงศ์ทันที จำเลยที่ 1 จึงเข้าใจว่าเมื่อนายพีรพงศ์ยังไม่ชำระเงินที่เหลือรถยนต์จึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทยูนิตี้อยู่ ซึ่งกรณีนับว่ามีเหตุอันควรที่จำเลยที่ 1 จะเข้าไปพบนางผ่องศรีเพื่อติดตามทวงถาม ขณะที่ทางนำสืบนางผ่องศรีกรรมการบริษัทนิชคาร์ ก็เบิกความยืนยันว่ารู้จักกับจำเลยที่ 1 อยู่แล้ว เนื่องจากเป็นลูกค้าของบริษัท ดังนั้นจึงชอบที่จำเลยที่ 1 จะถือวิสาสะเข้าไปทวงถามขอเอกสารทะเบียนรถยนต์เพื่อเป็นการรักษาสิทธิและส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทยูนิตี้ ไม่ได้เป็นการบุกรุกตามที่โจทก์ฟ้อง

ส่วนจำเลยที่ 2-5 นางผ่องศรีพยานโจทก์ ไม่ได้ยืนยันรายละเอียดข้อเท็จจริงว่าบุกรุกเข้าไปในที่เกิดเหตุอย่างไร ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพยานโจทก์ก็เบิกความแต่เพียงว่าเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเห็นจำเลยทั้ง 5 กระจายกันอยู่ภายในร้านเท่านั้น ไม่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการบุกรุกเช่นกัน ซึ่งทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าพวกจำเลยเข้าไปกระทำการใดๆ ที่เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วม กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิด ส่วนที่การตรวจค้นพบอาวุธปืนจากกระเป๋าสะพายของจำเลยที่ 5 ก็ไม่ปรากฏว่ามีจำเลยคนใดนำอาวุธปืนออกมาข่มขู่ให้นางผ่องศรี และนางพิมพ์วราจนเกิดความกลัว ซึ่งทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏด้วยว่ามีจำเลยคนใดเข้าไปข่มขืนใจนางผ่องศรีโดยใช้อาวุธพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้ง 5 ร่วมกันขืนใจนางผ่องศรีให้กระทำการใดโดยทำให้กลัวด้วยอาวุธ

แต่จำเลยที่ 5 มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ฐานมีและพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุก 14 เดือน และปรับ 6 พันบาท จำเลยที่ 5 ให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 7 เดือน ปรับ 3 พันบาท แต่เนื่องจากจำเลยที่ 5 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เพื่อให้โอกาสปรับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 1-4 ให้ยกฟ้อง
กำลังโหลดความคิดเห็น