วานนี้ (2 ก.พ.)ราคาหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)หรือ ZMICO ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.87% หรือเพิ่มขึ้น 0.19 บาทต่อหุ้น มาปิดที่ 1.56 บาท จากระแสข่าวควบรวมกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ฟินันเซียไซรัส จำกัด (มหาชน)หรือ FSS
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคที ซีมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า จากมีกระแสข่าวว่าบริษัทจะมีการควบรวมกับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งนั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่งบริษัทไม่มีแผนที่จะควบรวมอีกหลังจากที่ไปควบรวมกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบี
โดยแผนงานของบริษัทขณะนี้จะขยายการทำธุรกิจไปในต่างประเทศ จากที่มีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนในประเทศแถบอินโดจีน จากปัจจุบันที่บริษัทได้มีการเข้าไปทำธุรกิจหลักทรัพย์และที่ปรึกษาทางการเงิน ในประเทศเวียดนาม และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาที่จะเข้าไปทำธุรกิจทางด้านที่ปรึกษาทางการเงินที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนช่วงครึ่งปีแรก 55
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)ปีนี้จะอยู่ที่ 5% จากปีก่อนที่อยู่ที่ 4.16% เนื่องจาก บริษัทจะมีทีมเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง)เข้ามาทำงานกับบริษัทเพิ่มอีก 70 คน จากปัจจุบันที่มี 450 คน และ บริษัทมีแผนที่จะมีการเพิ่มลูกค้าที่เป็นฐานลูกค้าของธนาคารกรุงไทยในปีนี้เพิ่มอีก 4 พันบัญชี ซึ่งปีก่อนเพิ่มได้ 5-6 พันบัญชี ทำให้สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1 หมื่นบัญชี โดยปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นรวม 4 หมื่นบัญชี ซื้อขายสม่ำเสมอคิดเป็น 35% ของบัญชีซื้อขายหุ้นทั้งหมด
สำหรับปีนี้บริษัทมีแผนที่จะมีการเพิ่มวงเงินลงทุนหลักทรัพย์ ของบริษัทในส่วนของการทำอาบิถาด จากปัจจุบันที่ 500-600 ล้านบาท แต่ในส่วนของการซื้อขายหุ้นรายวัน (เดย์เทรด) ยังคงวงเงินลงทุนไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เพราะมองว่าการลงทุนในพอร์ตที่เป็นเดย์เทรดนั้นผลตอบแทนจะไม่สูงเหมือนกับปีที่ผ่านมา จากหลายบล.มีการพอร์ตลงทุนหุ้นซึ่งหุ้นส่วนใหญ่ในการเข้าไปลงทุนจะเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องที่สูงซึ่งมีไม่มาก ทำให้การที่จะเข้าไปทำกำไรได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ส่วนการปล่อยสินเชื่อเพิ่มซื้อหลักรัพย์ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.1-2.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งแล้วแต่ภาวะตลาดหุ้นไทยหากภาวะตลาดดีจะมีการปล่อยมาร์จิ้นได้เพิ่มขึ้น โดยส่วนตัวเชื่อว่าภาวะตลาดหุ้นไทยปีนี้น่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้ จากภาวะการเมืองนิ่ง และรัฐบาลมีแผนการลงทุนโครงสร้งพื้นบานจำนวนมาก
นายชัยภัทร กล่าวว่า ปัจจุบันค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นของบริษัทปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 0.19% จากปีก่อนที่ 0.20% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับบล.อื่นๆที่เฉลี่ย 0.15%-0.16% จากมองว่าการทำธุรกิจจะต้องทำให้บริษัทได้ประโยชน์ให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ถือหุ้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีลูกค้ามีการย้ายไปเทรดกับ บล.อื่นบ้าง แต่บริษัทยังมีฐานลูกค้าที่เทรดอยู่จำนวนมากจากที่บริษัทเน้นในเรื่องการบริการที่ดี ในด้านการลงทุน โดยจะเน้นเจาะฐานลูกค้าเงินฝากของธนาคารกรุงไทย
นอกจากนี้บริษัทมีการออกโปรแกรมการลงทุนเรียลไทม์หลายโปรแกรมให้นักลงทุนเลือกใช้ ในการซื้อขายหุ้นออนไลน์ เช่น Znet Xpress,Znet ,Streaming และ i2Trade เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้กับคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ต สมาร์ทโฟนที่มีระบบปฏิบัติการ Android เช่น กาแลกซี่แท็บ และ Mac OS เช่น ไอโฟน ไอเพด ไอพอทฯความสะดวกลูกค้าในการซื้อขาย ซึ่งนักลงทุนสามารถดูข้อมูลซื้อขายหุ้นราคาล่าสุด ข้อมูลเสนอซื้อเสนอขาย ได้ 5 ช่อง ข้อมูลกระดานรายใหญ่ (บิ๊กล็อต)ฯลฯและบริษัทมีการจัดแคมเปญต่างๆ ซึ่งในปีนี้บริษัทคาดว่าการให้บริการโปรแกรมดังกล่าวจะทำให้การซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตของบริษัทเพิ่มเป็น 50% ของการซื้อขายทั้งหมด จากปีก่อนอยู่ที่ 40%
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคที ซีมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า จากมีกระแสข่าวว่าบริษัทจะมีการควบรวมกับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งนั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่งบริษัทไม่มีแผนที่จะควบรวมอีกหลังจากที่ไปควบรวมกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบี
โดยแผนงานของบริษัทขณะนี้จะขยายการทำธุรกิจไปในต่างประเทศ จากที่มีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนในประเทศแถบอินโดจีน จากปัจจุบันที่บริษัทได้มีการเข้าไปทำธุรกิจหลักทรัพย์และที่ปรึกษาทางการเงิน ในประเทศเวียดนาม และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาที่จะเข้าไปทำธุรกิจทางด้านที่ปรึกษาทางการเงินที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนช่วงครึ่งปีแรก 55
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)ปีนี้จะอยู่ที่ 5% จากปีก่อนที่อยู่ที่ 4.16% เนื่องจาก บริษัทจะมีทีมเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง)เข้ามาทำงานกับบริษัทเพิ่มอีก 70 คน จากปัจจุบันที่มี 450 คน และ บริษัทมีแผนที่จะมีการเพิ่มลูกค้าที่เป็นฐานลูกค้าของธนาคารกรุงไทยในปีนี้เพิ่มอีก 4 พันบัญชี ซึ่งปีก่อนเพิ่มได้ 5-6 พันบัญชี ทำให้สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1 หมื่นบัญชี โดยปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นรวม 4 หมื่นบัญชี ซื้อขายสม่ำเสมอคิดเป็น 35% ของบัญชีซื้อขายหุ้นทั้งหมด
สำหรับปีนี้บริษัทมีแผนที่จะมีการเพิ่มวงเงินลงทุนหลักทรัพย์ ของบริษัทในส่วนของการทำอาบิถาด จากปัจจุบันที่ 500-600 ล้านบาท แต่ในส่วนของการซื้อขายหุ้นรายวัน (เดย์เทรด) ยังคงวงเงินลงทุนไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เพราะมองว่าการลงทุนในพอร์ตที่เป็นเดย์เทรดนั้นผลตอบแทนจะไม่สูงเหมือนกับปีที่ผ่านมา จากหลายบล.มีการพอร์ตลงทุนหุ้นซึ่งหุ้นส่วนใหญ่ในการเข้าไปลงทุนจะเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องที่สูงซึ่งมีไม่มาก ทำให้การที่จะเข้าไปทำกำไรได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ส่วนการปล่อยสินเชื่อเพิ่มซื้อหลักรัพย์ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.1-2.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งแล้วแต่ภาวะตลาดหุ้นไทยหากภาวะตลาดดีจะมีการปล่อยมาร์จิ้นได้เพิ่มขึ้น โดยส่วนตัวเชื่อว่าภาวะตลาดหุ้นไทยปีนี้น่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้ จากภาวะการเมืองนิ่ง และรัฐบาลมีแผนการลงทุนโครงสร้งพื้นบานจำนวนมาก
นายชัยภัทร กล่าวว่า ปัจจุบันค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นของบริษัทปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 0.19% จากปีก่อนที่ 0.20% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับบล.อื่นๆที่เฉลี่ย 0.15%-0.16% จากมองว่าการทำธุรกิจจะต้องทำให้บริษัทได้ประโยชน์ให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ถือหุ้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีลูกค้ามีการย้ายไปเทรดกับ บล.อื่นบ้าง แต่บริษัทยังมีฐานลูกค้าที่เทรดอยู่จำนวนมากจากที่บริษัทเน้นในเรื่องการบริการที่ดี ในด้านการลงทุน โดยจะเน้นเจาะฐานลูกค้าเงินฝากของธนาคารกรุงไทย
นอกจากนี้บริษัทมีการออกโปรแกรมการลงทุนเรียลไทม์หลายโปรแกรมให้นักลงทุนเลือกใช้ ในการซื้อขายหุ้นออนไลน์ เช่น Znet Xpress,Znet ,Streaming และ i2Trade เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้กับคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ต สมาร์ทโฟนที่มีระบบปฏิบัติการ Android เช่น กาแลกซี่แท็บ และ Mac OS เช่น ไอโฟน ไอเพด ไอพอทฯความสะดวกลูกค้าในการซื้อขาย ซึ่งนักลงทุนสามารถดูข้อมูลซื้อขายหุ้นราคาล่าสุด ข้อมูลเสนอซื้อเสนอขาย ได้ 5 ช่อง ข้อมูลกระดานรายใหญ่ (บิ๊กล็อต)ฯลฯและบริษัทมีการจัดแคมเปญต่างๆ ซึ่งในปีนี้บริษัทคาดว่าการให้บริการโปรแกรมดังกล่าวจะทำให้การซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตของบริษัทเพิ่มเป็น 50% ของการซื้อขายทั้งหมด จากปีก่อนอยู่ที่ 40%