ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยปิดบวก 0.53 จุด รับแรงกดดันจากภายนอกที่กังวลการแก้ไขปัญหาหนี้ในยุโรป ส่วนวันนี้(25ม.ค.) จับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ในการพิจารณาอัตราดอกเบี้ย ชี้ภาพรวมดัชนียังคงผันผวน
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้(24ม.ค.) ดัชนีปิดที่ระดับ 1,063.08 จุด เพิ่มขึ้น 0.53จุด หรือเพิ่มขึ้น0.05% มูลค่าการซื้อขาย 24,224.35 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,070.85 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,063.08 จุด ภาพรวมดัชนีปรับตัวลดลงหลังตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดในแดนลบจากความกังวลการแก้ไขปัญหาหนี้ของกรีซ และแรงขายทำกำไรในหุ้นบลูชิพ
นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 555.74 ล้านบาท เช่นเดียวกับ สถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ที่ซื้อสุทธิ 152.15 ล้านบาท และ 382.12 ล้านบาท ตามลำดับ โดยนักลงทุนทั่วไป ขายสุทธิ 1,090.02 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 182 หลักทรัพย์ ลดลง 262 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 176 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,534 .84 ล้านบาท ปิดที่ 32.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,038.12 ล้านบาท ปิดที่ 124.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท SIRI มูลค่าการซื้อขาย 964.39 ล้านบาท ปิดที่ 1.65 บาท ลดลง 0.15 บาท KTB มูลค่าการซื้อขาย 948.53 ล้านบาท ปิดที่ 15.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท IRPC มูลค่าการซื้อขาย 846.93 ล้านบาท ปิดที่ 4.46 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท
ด้านนางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้อยู่ในแดนบวกมากกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เปิดทำการ ขณะที่หลายตลาดยังปิดตรุษจีน โดยตลาดหุ้นไทยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มแบงก์ที่คลายความกังวลการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคุ้มครองเงินฝากเพิ่ม ซึ่งคาดว่าจะไม่มากอย่างที่วิตก รวมทั้งแรงซื้อรายตัวในกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตเคมี
ส่วนปัจจัยภายนอกยังมองไม่ค่อยเป็นบวกเท่าใด โดยดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับตัวลงมากว่า 40 จุด อีกทั้งยังมีประเด็นความคืบหน้าในเรื่องการเจรจาหนี้ของกรีกที่ยังต้องติดตามต่อไปเพราะยังไม่เห็นภาพชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องที่กดดันตลาดโดยรวมอยู่ในขณะนี้ ทำให้กรอบการขึ้นไปของดัชนีเป็นไปอย่างจำกัด
นายนำชัย เตชะรัตน์วิโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูไนเต็ด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวผันผวน โดยดัชนีปรับเพิ่มขึ้นจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์-พลังงาน และเก็งกำไรหุ้นรายตัวตามประเด็นข่าว แต่ช่วงบ่ายดัชนีอ่อนตัวลงในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนต้องการรอดูความคืบหน้าแก้ปัญหากรีซให้ชัดเจนก่อน รวมถึงการแถลงนโยบายประจำปีของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ ประกอบกับ มีแรงขายทำกำไรในหุ้นบลูชิพ
สำหรับทิศทางในวันนี้(25ม.ค.) ดัชนียังรอดูปัจจัยบวกจากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) โดยเชื่อว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ว่าจะปรับลดลง 0.25% ซึ่งบางส่วนรับรู้ไปแล้ว จึงทำให้ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกแต่ไม่มาก อย่างไรก็ตาม ยังต้องระวังว่าอาจมีการขายทำกำไร และอาจเห็นแรงขายหุ้นบลูชิพ หลังจากตลาดหุ้นในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์และฮ่องกง กลับมาเปิดทำการในวันนี้
"เรื่องที่ต้องติดตามดู คือประเด็นการแก้ปัญหาหนี้ของกรีซ ถือเป็นประเด็นเดียวที่จะบอกทิศทางตลาด อีกอย่างตลาดสิงคโปร์และฮ่องกงจะกลับมาเปิดอีกครั้ง คนอาจจะขายหุ้นบลูชิพได้ ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(25 ม.ค.) ตลาดหุ้นไทยคงผันผวนในลักษณะแกว่งตัวบวกสลับลบ พร้อมให้แนวรับ 1,050 จุด ส่วนแนวต้าน 1,080 จุด”
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้(24ม.ค.) ดัชนีปิดที่ระดับ 1,063.08 จุด เพิ่มขึ้น 0.53จุด หรือเพิ่มขึ้น0.05% มูลค่าการซื้อขาย 24,224.35 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,070.85 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,063.08 จุด ภาพรวมดัชนีปรับตัวลดลงหลังตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดในแดนลบจากความกังวลการแก้ไขปัญหาหนี้ของกรีซ และแรงขายทำกำไรในหุ้นบลูชิพ
นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 555.74 ล้านบาท เช่นเดียวกับ สถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ที่ซื้อสุทธิ 152.15 ล้านบาท และ 382.12 ล้านบาท ตามลำดับ โดยนักลงทุนทั่วไป ขายสุทธิ 1,090.02 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 182 หลักทรัพย์ ลดลง 262 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 176 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,534 .84 ล้านบาท ปิดที่ 32.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,038.12 ล้านบาท ปิดที่ 124.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท SIRI มูลค่าการซื้อขาย 964.39 ล้านบาท ปิดที่ 1.65 บาท ลดลง 0.15 บาท KTB มูลค่าการซื้อขาย 948.53 ล้านบาท ปิดที่ 15.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท IRPC มูลค่าการซื้อขาย 846.93 ล้านบาท ปิดที่ 4.46 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท
ด้านนางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้อยู่ในแดนบวกมากกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เปิดทำการ ขณะที่หลายตลาดยังปิดตรุษจีน โดยตลาดหุ้นไทยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มแบงก์ที่คลายความกังวลการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคุ้มครองเงินฝากเพิ่ม ซึ่งคาดว่าจะไม่มากอย่างที่วิตก รวมทั้งแรงซื้อรายตัวในกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตเคมี
ส่วนปัจจัยภายนอกยังมองไม่ค่อยเป็นบวกเท่าใด โดยดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับตัวลงมากว่า 40 จุด อีกทั้งยังมีประเด็นความคืบหน้าในเรื่องการเจรจาหนี้ของกรีกที่ยังต้องติดตามต่อไปเพราะยังไม่เห็นภาพชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องที่กดดันตลาดโดยรวมอยู่ในขณะนี้ ทำให้กรอบการขึ้นไปของดัชนีเป็นไปอย่างจำกัด
นายนำชัย เตชะรัตน์วิโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูไนเต็ด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวผันผวน โดยดัชนีปรับเพิ่มขึ้นจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์-พลังงาน และเก็งกำไรหุ้นรายตัวตามประเด็นข่าว แต่ช่วงบ่ายดัชนีอ่อนตัวลงในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนต้องการรอดูความคืบหน้าแก้ปัญหากรีซให้ชัดเจนก่อน รวมถึงการแถลงนโยบายประจำปีของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ ประกอบกับ มีแรงขายทำกำไรในหุ้นบลูชิพ
สำหรับทิศทางในวันนี้(25ม.ค.) ดัชนียังรอดูปัจจัยบวกจากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) โดยเชื่อว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ว่าจะปรับลดลง 0.25% ซึ่งบางส่วนรับรู้ไปแล้ว จึงทำให้ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวกแต่ไม่มาก อย่างไรก็ตาม ยังต้องระวังว่าอาจมีการขายทำกำไร และอาจเห็นแรงขายหุ้นบลูชิพ หลังจากตลาดหุ้นในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์และฮ่องกง กลับมาเปิดทำการในวันนี้
"เรื่องที่ต้องติดตามดู คือประเด็นการแก้ปัญหาหนี้ของกรีซ ถือเป็นประเด็นเดียวที่จะบอกทิศทางตลาด อีกอย่างตลาดสิงคโปร์และฮ่องกงจะกลับมาเปิดอีกครั้ง คนอาจจะขายหุ้นบลูชิพได้ ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(25 ม.ค.) ตลาดหุ้นไทยคงผันผวนในลักษณะแกว่งตัวบวกสลับลบ พร้อมให้แนวรับ 1,050 จุด ส่วนแนวต้าน 1,080 จุด”