เห็นหน้าค่าตากันไปแล้ว สำหรับครม.ปู 2 ยังคงริ้วรอยแห่งความขี้เหร่ไว้เหมือน
เดิม
แม้จะพยายามปรับแต่งหมุนเปลี่ยนกันแค่ไหน ก็ซ่อนความอัปลักษณ์ไว้ไม่มิด
เพราะสุดท้ายไม่ได้ปรับที่ผลงาน แต่ปรับเพื่อเคลียรอบบิล ใช้หนี้กันให้จบๆ ไป
เท่านั้น
อย่างไรก็ดี จะสังเกตเห็นชัดถึงการนำคนในเครือข่าย “ชินคอร์ป” เข้ามานั่งในครม.
ไม่ว่าจะเป็น “นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนัก
นายกฯ “อารักษ์ ชลธาร์นนท์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพราะพ.ต.ท
.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการมือไม้ที่รู้ใจมาช่วยน้องสาว นายกรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ ชิน
วัตร” มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครช่วยแบ่งเบาภาระ มีแต่สร้างปัญหาให้
ตลอด
ปรับครม.ครั้งนี้ ปรับใหญ่ ปรับเร็วสายฟ้าแลบ ป้องกันการวิ่งเต้นวุ่นวาย เน้นไปที่
กระทรวงด้านเศรษฐกิจ สังคม ที่ถูกประเมินว่าเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล ไม่มีแอ
คชั่นความก้าวหน้า เชื่องช้าไร้ผลงาน
พร้อมๆ กับ ดัน “พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต” ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
กลาโหม แทน “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” เพื่อไปคัดง้างกองกำลังสีเขียว เพราะ
โดยพื้นฐานส่วนตัวแล้ว “สุกำพล” เป็นคนแข็งกว่า ไม่โอนอ่อนให้กองทัพง่ายๆ
เหมือน “ยุทธศักดิ์”
แต่ก็เป็นที่หวั่นเกรงจากหลายฝ่ายว่า มันจะเป็นการเร่งเชื้อไฟความขัดแย้งให้กลับ
มาปะทุหรือไม่!!
ในภาพรวมของรัฐบาลปู2ที่ดูแล้วประชาชนคนไทยคงต้องทู่ซี้ทนอยู่กับครม.น้ำ 3
กันต่อไปอีกสักระยะ จนกว่าฟ้าจะเปลี่ยนสีโน่นแหละ แต่ไม่รู้เมื่อไร?
ข่าวว่าการปรับครม.ครั้งต่อไป น่าจะเป็นการต้อนรับสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ว่า
กันว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงของฝ่ายแดง จะหวนกลับคืนสู่เวทีเต็มตัว อย่างไรก็ตาม
คนเหล่านั้นก็ล้วนมีประวัติเสื่อมเสีย มอมแมมมูมมามทั้งสิ้น ชั่วแต่ว่าก็ยังพอมีฝีมือ
เป็นที่ประจักษ์อยู่บ้าง หากให้เปรียบเทียบความอัปลักษณ์ด้วยกันแล้วน่าจะพอ
คาดหวังเห็นเม็ดงานมากกว่า รมต.สากกะเบือทิ่มครก ที่นั่งกันสลอนอยู่ ณ ยามนี้!!
การทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์หลังการเลือกตั้งเป็นต้นมา ยังไม่เห็นอะไรเนื้อๆ
เป็นชิ้นอัน นอกจากนั่งเต๊ะจุ๊ยไปวันๆ เมื่อโดนน้ำท่วมสาดเข้ามาโครมเบ้อเริ่ม ก็ทำ
ท่าจะสำลักน้ำตาย ตะเกียกตะกายเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่น ออกอาการเมาหมัดสม
เป็นพวกมือสมัครเล่นตามที่ถูกนินทา
นอกจากรัฐมนตรีจะไม่เอาอ่าวแล้ว “ทีมงานผู้ช่วยรอบข้าง”ก็ห่วยไม่แพ้กัน โดย
เฉพาะตำแหน่ง “เลขานุการรัฐมนตรี- ที่ปรึกษารัฐมนตรี” ที่ตั้งกันมานับ 70
ตำแหน่ง แจกกันไปเพื่อสนองตัณหา ต่างตอบแทนกันทั้งนั้น
ว่ากันว่า ไอ้ที่ทำงานช่วยรัฐมนตรีแบบถึงพริกถึงขิง..ไม่มีหรอก มีแต่เอาตำแหน่ง
ไปหากิน อวดเบ่งโชว์กล้ามไปวันๆ
เห็นชัดเจนที่กระทรวงมหาดไทย แต่ละคน แอคอาร์ท ชูคอเป็นกิ้งก่าได้ทอง แม้
กระทั่งนักข่าวยังเจอกับตัวมาแล้ว เช่น กรณีของ “เจ๋ง ดอกจิก” ที่กร่างกร้าวจะเอา
เรือของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ.ที่ได้รับบริจาคไว้ไป
ใช้เอง และอีกหลายกรณีที่เกิดขึ้นในศปภ.
แสบสันต์ทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวพันกับ “คนเสื้อแดง”ที่เข้ามามีอำนาจใน
ตำแหน่งเหล่านี้
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่แกนนำในพรรคเพื่อไทยจะเห็นปรากฏการณ์แสนอัปยศที่เกิด
ขึ้น นำมาสู่การล้างบางครั้งใหญ่ในตำแหน่งเลขานุการ และที่ปรึกษารัฐมนตรีใน
คราวนี้ โดยถือโอกาสที่มีการปรับครม.โละทิ้งแทบทั้งหมด
การแต่งตั้งตำแหน่งเหล่านี้ที่ผ่านมาเล็งเป้าหมายไปที่การตอบแทน ดับเสียง
โวยวายไม่พอใจเป็นเรื่องหลัก เนื้องานเป็นเรื่องรอง หรือแทบไม่ได้สำนึกถึง เมื่อ
ได้ทบทวน ใคร่ครวญแล้วจึงทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ล่าสุด จะเกลี่ยตำแหน่งเหล่านี้เสียใหม่ โดย “คนเสื้อแดง”จะถูกริบโควตาคืน
เพราะการปรับครม.คราวนี้ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำคนเสื้อแดง ได้เป็นรัฐมนตรี
แล้ว จึงสามารถนำโควต้าที่ปรึกษา-เลขานุการรัฐมนตรีไปให้กับส.ส.สอบตก ซึ่ง
ตกสำรวจไปคราวที่แล้ว
วางเป้าหมาย ขีดเส้นการทำงานนับจากนี้ไปให้มีหลักมีเกณฑ์มากขึ้น ที่
ปรึกษา-เลขาฯรัฐมนตรี จะต้องทำงานสัมพันธ์กับรัฐมนตรี เป็นมือเป็นไม้ขับ
เคลื่อนนโยบายออกมาให้เห็นผล โดยเฉพาะนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนจน
ได้รับการเลือกตั้งมา แต่ยังไม่สามารถทำได้ตามที่ปากว่า
นอกจากนี้ ทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ โฆษกรัฐบาล ที่มี “ฐิติมา
ฉายแสง” น้องสาว “จาตุรนต์ ฉายแสง” อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
ทำหน้าที่อยู่ ก็เห็นแล้วว่ายังไม่ดีพอ เจ้าตัวเองออกมาบ่นตลอดว่า เป็นงานที่ไม่ถนัด
หากใครเหมาะสมกว่าก็ยินดีสละตำแหน่งให้
ไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อข่าวที่ทำงานใกล้ชิดกัน หรือแม้แต่แกนนำพรรคเพื่อไทยเอง ก็ลง
ความเห็นไม่ต่างกันว่า “ฐิติมา” ยังไม่ใช่ แถลงนโยบายรัฐบาลยังไม่โดดเด่น จับ
ประเด็นยังคลุมเครือ ขณะที่เรื่องการเมืองก็ยังอ่อนเชิง ไม่มีลูกล่อลูกชนที่สามารถ
ต่อกรกับพรรคประชาธิปัตย์ได้
ในขณะที่รองโฆษกฯอีก 2-3 คน ล้วนหน้าใหม่ และถือว่ายังเด็กเกินไปหากจะขึ้น
มาทำหน้าที่แทน “อนุตตมา อมรวิวัฒน์” สไตล์เดียวกันกับ เจ๊เปิ้ล ลูกพี่เป๊ะ ขณะที่
“อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” รองโอปอฯ หน่วยก้านดูพอใช้ได้ พูดจาพอไปวัดไปวาได้
จับประเด็นเก่ง แต่บางครั้งพูดมาก ออกลูกกระแนะกระแหนเกินเหตุ และยังเด็ก
เกินไป
แกนนำพรรคเพื่อไทยก็กำลังกวาดสายตามองคนมารับตำแหน่งหน้าที่โฆษก
รัฐบาลอยู่เช่นกัน เพราะที่มีอยู่ประเมินแล้วว่าไม่ไหว สำหรับ “ต่อพงษ์ ไชยสาส์น”
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการสาธารณสุข ที่เก้าอี้หลุดกระเด็นไปอย่างเจ็บปวด มีข่าวว่า
อาจมาทำหน้าที่นี้แทน
ความจริง “ต่อพงษ์” ก็เคยเป็นรองโฆษกรัฐบาลมาก่อน เพียงแต่ว่าอดีตรัฐมนตรีจะ
ยอมลดชั้นมาเป็นโฆษกรัฐบาล เหมือนเช่นที่ “นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี” เคยทำหรือ
ไม่ แต่สำคัญคือว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยมองว่า “ต่อพงษ์” ยังมือไม่ถึงในเชิงการ
เมือง!! ตำแหน่งผู้แทนการค้าไทย ที่ “นลินี ทวีสิน” ลุกออกมาน่าจะเป็นเก้าอี้ปลอบ
ใจที่เหมาะที่สุด
พรรคเพื่อไทยคาดหวังการทำงานหลังจากนี้ไว้มาก เมื่อปัญหาอุทกภัยหมดไปแล้ว
การพิจารณางบประมาณผ่านพ้นไปแล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มทำงานอย่างจริงจังเสียที โดย
ถือโอกาสปรับครม.เพิ่มความกระฉับกระเฉงลุยงานกันจริงจังในขวบปีใหม่
ก็ต้องจับตาดูอย่างสงสัยว่า งานมันจะดีขึ้นจริงๆ หรือ!!
เดิม
แม้จะพยายามปรับแต่งหมุนเปลี่ยนกันแค่ไหน ก็ซ่อนความอัปลักษณ์ไว้ไม่มิด
เพราะสุดท้ายไม่ได้ปรับที่ผลงาน แต่ปรับเพื่อเคลียรอบบิล ใช้หนี้กันให้จบๆ ไป
เท่านั้น
อย่างไรก็ดี จะสังเกตเห็นชัดถึงการนำคนในเครือข่าย “ชินคอร์ป” เข้ามานั่งในครม.
ไม่ว่าจะเป็น “นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนัก
นายกฯ “อารักษ์ ชลธาร์นนท์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพราะพ.ต.ท
.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการมือไม้ที่รู้ใจมาช่วยน้องสาว นายกรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ ชิน
วัตร” มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครช่วยแบ่งเบาภาระ มีแต่สร้างปัญหาให้
ตลอด
ปรับครม.ครั้งนี้ ปรับใหญ่ ปรับเร็วสายฟ้าแลบ ป้องกันการวิ่งเต้นวุ่นวาย เน้นไปที่
กระทรวงด้านเศรษฐกิจ สังคม ที่ถูกประเมินว่าเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล ไม่มีแอ
คชั่นความก้าวหน้า เชื่องช้าไร้ผลงาน
พร้อมๆ กับ ดัน “พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต” ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
กลาโหม แทน “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” เพื่อไปคัดง้างกองกำลังสีเขียว เพราะ
โดยพื้นฐานส่วนตัวแล้ว “สุกำพล” เป็นคนแข็งกว่า ไม่โอนอ่อนให้กองทัพง่ายๆ
เหมือน “ยุทธศักดิ์”
แต่ก็เป็นที่หวั่นเกรงจากหลายฝ่ายว่า มันจะเป็นการเร่งเชื้อไฟความขัดแย้งให้กลับ
มาปะทุหรือไม่!!
ในภาพรวมของรัฐบาลปู2ที่ดูแล้วประชาชนคนไทยคงต้องทู่ซี้ทนอยู่กับครม.น้ำ 3
กันต่อไปอีกสักระยะ จนกว่าฟ้าจะเปลี่ยนสีโน่นแหละ แต่ไม่รู้เมื่อไร?
ข่าวว่าการปรับครม.ครั้งต่อไป น่าจะเป็นการต้อนรับสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ว่า
กันว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงของฝ่ายแดง จะหวนกลับคืนสู่เวทีเต็มตัว อย่างไรก็ตาม
คนเหล่านั้นก็ล้วนมีประวัติเสื่อมเสีย มอมแมมมูมมามทั้งสิ้น ชั่วแต่ว่าก็ยังพอมีฝีมือ
เป็นที่ประจักษ์อยู่บ้าง หากให้เปรียบเทียบความอัปลักษณ์ด้วยกันแล้วน่าจะพอ
คาดหวังเห็นเม็ดงานมากกว่า รมต.สากกะเบือทิ่มครก ที่นั่งกันสลอนอยู่ ณ ยามนี้!!
การทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์หลังการเลือกตั้งเป็นต้นมา ยังไม่เห็นอะไรเนื้อๆ
เป็นชิ้นอัน นอกจากนั่งเต๊ะจุ๊ยไปวันๆ เมื่อโดนน้ำท่วมสาดเข้ามาโครมเบ้อเริ่ม ก็ทำ
ท่าจะสำลักน้ำตาย ตะเกียกตะกายเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่น ออกอาการเมาหมัดสม
เป็นพวกมือสมัครเล่นตามที่ถูกนินทา
นอกจากรัฐมนตรีจะไม่เอาอ่าวแล้ว “ทีมงานผู้ช่วยรอบข้าง”ก็ห่วยไม่แพ้กัน โดย
เฉพาะตำแหน่ง “เลขานุการรัฐมนตรี- ที่ปรึกษารัฐมนตรี” ที่ตั้งกันมานับ 70
ตำแหน่ง แจกกันไปเพื่อสนองตัณหา ต่างตอบแทนกันทั้งนั้น
ว่ากันว่า ไอ้ที่ทำงานช่วยรัฐมนตรีแบบถึงพริกถึงขิง..ไม่มีหรอก มีแต่เอาตำแหน่ง
ไปหากิน อวดเบ่งโชว์กล้ามไปวันๆ
เห็นชัดเจนที่กระทรวงมหาดไทย แต่ละคน แอคอาร์ท ชูคอเป็นกิ้งก่าได้ทอง แม้
กระทั่งนักข่าวยังเจอกับตัวมาแล้ว เช่น กรณีของ “เจ๋ง ดอกจิก” ที่กร่างกร้าวจะเอา
เรือของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ.ที่ได้รับบริจาคไว้ไป
ใช้เอง และอีกหลายกรณีที่เกิดขึ้นในศปภ.
แสบสันต์ทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวพันกับ “คนเสื้อแดง”ที่เข้ามามีอำนาจใน
ตำแหน่งเหล่านี้
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่แกนนำในพรรคเพื่อไทยจะเห็นปรากฏการณ์แสนอัปยศที่เกิด
ขึ้น นำมาสู่การล้างบางครั้งใหญ่ในตำแหน่งเลขานุการ และที่ปรึกษารัฐมนตรีใน
คราวนี้ โดยถือโอกาสที่มีการปรับครม.โละทิ้งแทบทั้งหมด
การแต่งตั้งตำแหน่งเหล่านี้ที่ผ่านมาเล็งเป้าหมายไปที่การตอบแทน ดับเสียง
โวยวายไม่พอใจเป็นเรื่องหลัก เนื้องานเป็นเรื่องรอง หรือแทบไม่ได้สำนึกถึง เมื่อ
ได้ทบทวน ใคร่ครวญแล้วจึงทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ล่าสุด จะเกลี่ยตำแหน่งเหล่านี้เสียใหม่ โดย “คนเสื้อแดง”จะถูกริบโควตาคืน
เพราะการปรับครม.คราวนี้ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำคนเสื้อแดง ได้เป็นรัฐมนตรี
แล้ว จึงสามารถนำโควต้าที่ปรึกษา-เลขานุการรัฐมนตรีไปให้กับส.ส.สอบตก ซึ่ง
ตกสำรวจไปคราวที่แล้ว
วางเป้าหมาย ขีดเส้นการทำงานนับจากนี้ไปให้มีหลักมีเกณฑ์มากขึ้น ที่
ปรึกษา-เลขาฯรัฐมนตรี จะต้องทำงานสัมพันธ์กับรัฐมนตรี เป็นมือเป็นไม้ขับ
เคลื่อนนโยบายออกมาให้เห็นผล โดยเฉพาะนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนจน
ได้รับการเลือกตั้งมา แต่ยังไม่สามารถทำได้ตามที่ปากว่า
นอกจากนี้ ทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ โฆษกรัฐบาล ที่มี “ฐิติมา
ฉายแสง” น้องสาว “จาตุรนต์ ฉายแสง” อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
ทำหน้าที่อยู่ ก็เห็นแล้วว่ายังไม่ดีพอ เจ้าตัวเองออกมาบ่นตลอดว่า เป็นงานที่ไม่ถนัด
หากใครเหมาะสมกว่าก็ยินดีสละตำแหน่งให้
ไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อข่าวที่ทำงานใกล้ชิดกัน หรือแม้แต่แกนนำพรรคเพื่อไทยเอง ก็ลง
ความเห็นไม่ต่างกันว่า “ฐิติมา” ยังไม่ใช่ แถลงนโยบายรัฐบาลยังไม่โดดเด่น จับ
ประเด็นยังคลุมเครือ ขณะที่เรื่องการเมืองก็ยังอ่อนเชิง ไม่มีลูกล่อลูกชนที่สามารถ
ต่อกรกับพรรคประชาธิปัตย์ได้
ในขณะที่รองโฆษกฯอีก 2-3 คน ล้วนหน้าใหม่ และถือว่ายังเด็กเกินไปหากจะขึ้น
มาทำหน้าที่แทน “อนุตตมา อมรวิวัฒน์” สไตล์เดียวกันกับ เจ๊เปิ้ล ลูกพี่เป๊ะ ขณะที่
“อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” รองโอปอฯ หน่วยก้านดูพอใช้ได้ พูดจาพอไปวัดไปวาได้
จับประเด็นเก่ง แต่บางครั้งพูดมาก ออกลูกกระแนะกระแหนเกินเหตุ และยังเด็ก
เกินไป
แกนนำพรรคเพื่อไทยก็กำลังกวาดสายตามองคนมารับตำแหน่งหน้าที่โฆษก
รัฐบาลอยู่เช่นกัน เพราะที่มีอยู่ประเมินแล้วว่าไม่ไหว สำหรับ “ต่อพงษ์ ไชยสาส์น”
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการสาธารณสุข ที่เก้าอี้หลุดกระเด็นไปอย่างเจ็บปวด มีข่าวว่า
อาจมาทำหน้าที่นี้แทน
ความจริง “ต่อพงษ์” ก็เคยเป็นรองโฆษกรัฐบาลมาก่อน เพียงแต่ว่าอดีตรัฐมนตรีจะ
ยอมลดชั้นมาเป็นโฆษกรัฐบาล เหมือนเช่นที่ “นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี” เคยทำหรือ
ไม่ แต่สำคัญคือว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยมองว่า “ต่อพงษ์” ยังมือไม่ถึงในเชิงการ
เมือง!! ตำแหน่งผู้แทนการค้าไทย ที่ “นลินี ทวีสิน” ลุกออกมาน่าจะเป็นเก้าอี้ปลอบ
ใจที่เหมาะที่สุด
พรรคเพื่อไทยคาดหวังการทำงานหลังจากนี้ไว้มาก เมื่อปัญหาอุทกภัยหมดไปแล้ว
การพิจารณางบประมาณผ่านพ้นไปแล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มทำงานอย่างจริงจังเสียที โดย
ถือโอกาสปรับครม.เพิ่มความกระฉับกระเฉงลุยงานกันจริงจังในขวบปีใหม่
ก็ต้องจับตาดูอย่างสงสัยว่า งานมันจะดีขึ้นจริงๆ หรือ!!