ASTVผู้จัดการรายวัน – “บาร์บีคิวพลาซ่า” รุกหนัก สยายปีกต่างประเทศเต็มตัว ชูร่วมทุน หลังทำที่มาเลเซีย 5 ปีเข้าท่า ล่าสุดเจรจากับกลุ่มทุนอินโดนีเซีย ส่วนตลาดในไทยปีนี้ลั่นลงทุน 450 ล้านบาท ผุดเพิ่มอีก รวม 2 แบรนด์ 20 สาขา ตั้งเป้าโตสุด 15%
นางสาวชาตยา ชูพจน์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะบาร์บีคิวพลาซ่า จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านบาร์บีคิวพลาซ่าและจุ่มแซ่บฮัท เปิดเผยว่า นโยบายจากนี้มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศในเชิงรุกมากขึ้นโดยใช้แบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่าเป็นตัวหลัก โดยพุ่งเป้าหมายในย่านเอเซียนี้ ด้วยรูปแบบการร่วมทุนกับกลุ่มทุนในแต่ละประเทศ แต่ยังไม่มีแนวคิดที่จะขายแฟรนไชส์
ล่าสุดอยู่ระหว่างการเจรจากับทางกลุ่มทุนธุรกิจร้านอาหารในจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามยังมีการติดต่ออีกจากหลายประเทศที่สนใจ เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม เป็นต้น
ปัจจุบันขยายไปประเทศมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับดี เพราะในตลาดนั้นยังไม่มีผู้ประกอบการแบบเดียวกัน ปัจจุบันมีสาขา 9 แห่ง (ปีที่แล้วเปิดใหม่ 4 สาขา) ปีนี้มีแผนเปิดอีก 6 สาขาเช่น ที่กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง มะละกา ตั้งเป้าหมายปีหน้าเพิ่มเป็น 20 สาขาภายใน 3 ปีจากนี้
สำหรับแผนธุรกิจในประเทศไทย ปีนี้ตั้งงบการลงทุนไว้ที่ 450 ล้านบาท แบ่งเป็น งบการตลาด 200 ล้านบาท งบเปิดสาขาใหม่และรีโนเวต 150 ล้านบาท และงบการพัฒนาระบบต่างๆ 100 ล้านบาท มีแผนเปิดสาขาใหม่ปีนี้ 20 สาขา แบ่งเป็น บาร์บีคิวฯ 10 สาขา และจุ่มเซ่บฮัท 10 สาขา เน้นหนักไปที่การาขยายในต่างจังหวัดมากขึ้น เช่น อุดรธานี สุราษฎร์ธานี หาดใหญ่ สุพรรณบุรี เป็นต้น
ปีนี้เราคงเน้นการทำตลาดและกิจกรรมมากขึ้น หลังจากที่ปีที่แล้วใช้งบ 36 ล้านบาท ในการจัดแคมเปญใหญ่สุดรอบ 25 ปี “ปฎิบัตจิการคืนชีพบาร์บีกอน” และต่อเนื่องถึงปีนี้ พร้อมกับการรีแบรนด์ตัวคาแรคเตอร์ บาร์บีกอนใหม่ให้มีความทันสมัย หลังจากที่คาแรกเตอร์นี้ใช้มาแล้ว 17 ปี ขณะที่บาร์บีคิวพลาซ่าทำตลาดมาแล้ว25 ปี ซึ่งแคเมปญนี้ประสบความสำเร็จมากในโลกออนไลน์ มียอดแฟนเพจมากกว่า 40,000 ราย และยอดผู้ชมคลิกกว่า 500,000 ครั้ง
กลยุทธ์หลักปีนี้ให้ความสำคัญกับ 3 ซี (3C)คือ คาแรคเตอร์ สร้างแบรนนด์ผ่านตัวบาร์บีกอน 2.โค-ครีเอชั่น ให้ผู้บริโภครวมกิจกรรมด้วยกัน และ 3.คอมมิวนิไทเซชั่น สร้างชุมชนของบาร์บีกอนในโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายมหลักของบาร์บีคิวพลาซ่า คือ กลุ่มครอบครัว รองลงมาคือ วัยรุ่น นักศึกษา คนทำงาน โดยมีฐานสมาชิก 3 แสนกว่าราย แอคทีฟ 70% ซึ่งอัตราค่าใช้จ่ายผู้บริโภคประมาณ 300 บาทต่อคนต่อครั้ง
ปัจจุบัน บาร์บีคิวพลาซ่ามีสาขารวมประมาณ 86 สาขาในไทย และอีก 9 สาขาในมาเลเซีย ปีที่แล้วเปิดสาขาในไทย 4 แห่ง ซึ่งสาขาส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมากกว่า 70 แห่ง ที่เหลืออยู่ในต่างจังหวัด ส่วนแบรนด์จุ่มแซ่บฮัทมีสาขา 70 แห่ง ปีที่แล้วเปิดประมาณ 4 แห่ง ปีนี้ตั้งเป้าเปิดอีก 10 แห่ง ควบคู่ไปกับร้านบาร์บีคิวพลาซ่าเป็นหลัก
สำหรับผลประกอบการเฉพาะในไทย บริษัทฯมีรายได้ปีที่แล้วประมาณ 1,600 ล้านบาท เติบโต 10% ไม่รวมรายได้ต่างประเทศ คาดว่าปีนี้จะมีการเติบโต 155% มากกว่าทุกปีที่เติบโตเฉลี่ย 10%
“ธุรกิจอาหารในไทยแข่งขันกันรุนแรงทุกเซ็กเมนท์ โดยในส่วนของอาหารประเภทเซลฟ์คุกกิ้ง (SELF COOKING) รวมทั้ง สุกี้ ปิ้งย่าง ชาบู มีมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท แต่หากเป็นปิ้งย่างมีมูลค่า 3,600 ล้านบาท แม้ว่าจะมีอาหารสไตล์เกาหลีและญี่ปุ่นเกิดขึ้นมาก แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงปีที่แล้วจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ แต่ก็ได้รับความเสียหายเล็กน้อยเพราะปิดสาขาไปในช่วงระยะเวลาไม่นาน ทั้งนี้จากปัญหาปีที่แล้วบริษัทฯได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้วปากปีนี้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่อีก เช่น การหาพื้นที่คลังสำรองในการผลิตวัตถุดิบจากเดิมมีโรงงานอยู่ที่นวนครซึ่งน้ำท่มวซึ่งปีที่แล้วใช้พื้นที่ชั่วคราวที่ศูนย์ฝึกอบรมที่ถนนรัชดาภิเษก เป็นต้น
นางสาวชาตยา ชูพจน์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะบาร์บีคิวพลาซ่า จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านบาร์บีคิวพลาซ่าและจุ่มแซ่บฮัท เปิดเผยว่า นโยบายจากนี้มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศในเชิงรุกมากขึ้นโดยใช้แบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่าเป็นตัวหลัก โดยพุ่งเป้าหมายในย่านเอเซียนี้ ด้วยรูปแบบการร่วมทุนกับกลุ่มทุนในแต่ละประเทศ แต่ยังไม่มีแนวคิดที่จะขายแฟรนไชส์
ล่าสุดอยู่ระหว่างการเจรจากับทางกลุ่มทุนธุรกิจร้านอาหารในจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามยังมีการติดต่ออีกจากหลายประเทศที่สนใจ เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม เป็นต้น
ปัจจุบันขยายไปประเทศมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับดี เพราะในตลาดนั้นยังไม่มีผู้ประกอบการแบบเดียวกัน ปัจจุบันมีสาขา 9 แห่ง (ปีที่แล้วเปิดใหม่ 4 สาขา) ปีนี้มีแผนเปิดอีก 6 สาขาเช่น ที่กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง มะละกา ตั้งเป้าหมายปีหน้าเพิ่มเป็น 20 สาขาภายใน 3 ปีจากนี้
สำหรับแผนธุรกิจในประเทศไทย ปีนี้ตั้งงบการลงทุนไว้ที่ 450 ล้านบาท แบ่งเป็น งบการตลาด 200 ล้านบาท งบเปิดสาขาใหม่และรีโนเวต 150 ล้านบาท และงบการพัฒนาระบบต่างๆ 100 ล้านบาท มีแผนเปิดสาขาใหม่ปีนี้ 20 สาขา แบ่งเป็น บาร์บีคิวฯ 10 สาขา และจุ่มเซ่บฮัท 10 สาขา เน้นหนักไปที่การาขยายในต่างจังหวัดมากขึ้น เช่น อุดรธานี สุราษฎร์ธานี หาดใหญ่ สุพรรณบุรี เป็นต้น
ปีนี้เราคงเน้นการทำตลาดและกิจกรรมมากขึ้น หลังจากที่ปีที่แล้วใช้งบ 36 ล้านบาท ในการจัดแคมเปญใหญ่สุดรอบ 25 ปี “ปฎิบัตจิการคืนชีพบาร์บีกอน” และต่อเนื่องถึงปีนี้ พร้อมกับการรีแบรนด์ตัวคาแรคเตอร์ บาร์บีกอนใหม่ให้มีความทันสมัย หลังจากที่คาแรกเตอร์นี้ใช้มาแล้ว 17 ปี ขณะที่บาร์บีคิวพลาซ่าทำตลาดมาแล้ว25 ปี ซึ่งแคเมปญนี้ประสบความสำเร็จมากในโลกออนไลน์ มียอดแฟนเพจมากกว่า 40,000 ราย และยอดผู้ชมคลิกกว่า 500,000 ครั้ง
กลยุทธ์หลักปีนี้ให้ความสำคัญกับ 3 ซี (3C)คือ คาแรคเตอร์ สร้างแบรนนด์ผ่านตัวบาร์บีกอน 2.โค-ครีเอชั่น ให้ผู้บริโภครวมกิจกรรมด้วยกัน และ 3.คอมมิวนิไทเซชั่น สร้างชุมชนของบาร์บีกอนในโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายมหลักของบาร์บีคิวพลาซ่า คือ กลุ่มครอบครัว รองลงมาคือ วัยรุ่น นักศึกษา คนทำงาน โดยมีฐานสมาชิก 3 แสนกว่าราย แอคทีฟ 70% ซึ่งอัตราค่าใช้จ่ายผู้บริโภคประมาณ 300 บาทต่อคนต่อครั้ง
ปัจจุบัน บาร์บีคิวพลาซ่ามีสาขารวมประมาณ 86 สาขาในไทย และอีก 9 สาขาในมาเลเซีย ปีที่แล้วเปิดสาขาในไทย 4 แห่ง ซึ่งสาขาส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมากกว่า 70 แห่ง ที่เหลืออยู่ในต่างจังหวัด ส่วนแบรนด์จุ่มแซ่บฮัทมีสาขา 70 แห่ง ปีที่แล้วเปิดประมาณ 4 แห่ง ปีนี้ตั้งเป้าเปิดอีก 10 แห่ง ควบคู่ไปกับร้านบาร์บีคิวพลาซ่าเป็นหลัก
สำหรับผลประกอบการเฉพาะในไทย บริษัทฯมีรายได้ปีที่แล้วประมาณ 1,600 ล้านบาท เติบโต 10% ไม่รวมรายได้ต่างประเทศ คาดว่าปีนี้จะมีการเติบโต 155% มากกว่าทุกปีที่เติบโตเฉลี่ย 10%
“ธุรกิจอาหารในไทยแข่งขันกันรุนแรงทุกเซ็กเมนท์ โดยในส่วนของอาหารประเภทเซลฟ์คุกกิ้ง (SELF COOKING) รวมทั้ง สุกี้ ปิ้งย่าง ชาบู มีมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท แต่หากเป็นปิ้งย่างมีมูลค่า 3,600 ล้านบาท แม้ว่าจะมีอาหารสไตล์เกาหลีและญี่ปุ่นเกิดขึ้นมาก แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงปีที่แล้วจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ แต่ก็ได้รับความเสียหายเล็กน้อยเพราะปิดสาขาไปในช่วงระยะเวลาไม่นาน ทั้งนี้จากปัญหาปีที่แล้วบริษัทฯได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้วปากปีนี้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่อีก เช่น การหาพื้นที่คลังสำรองในการผลิตวัตถุดิบจากเดิมมีโรงงานอยู่ที่นวนครซึ่งน้ำท่มวซึ่งปีที่แล้วใช้พื้นที่ชั่วคราวที่ศูนย์ฝึกอบรมที่ถนนรัชดาภิเษก เป็นต้น
