จากกรณีที่ คุณสุริยะใส กตะศิลา อดีตผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้นำกลุ่มการเมืองสีเขียว ได้ไปออกรายการเช้าดูวู้ดดี้ คู่กับ นาย “ตุ๊ดตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ภายใต้เนื้อหาในเรื่องมิตรภาพความเป็นเพื่อนเก่าแก่ กับความแตกต่างทางแนวคิดทางการเมืองนั้น ได้สร้างกระแสในการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาในวงกว้างของสังคม โดยเฉพาะสังคมออนไลน์
เรื่องนี้มีทั้งผู้ที่มองว่า ไม่เป็นเรื่องแปลกในเรื่องจุดยืนทางด้านการเมือง กับมิตรภาพที่แยกออกจากกันชัดเจน และผู้ที่มองว่า การไปแสดงที่จับมือออกสื่อ หรือการมีการนัดคุยกินข้าวแลกเปลี่ยนมุมมองทางการเมืองกันในบางครั้งตามที่นายจตุพรกล่าวอ้างนั้น เป็นเรื่องที่ทำลายความรู้สึกของผู้สนับสนุนการต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กรณีดังกล่าวได้สร้างแรงกดดันแก่คุณสุริยะใสอย่างพอสมควร และคุณสุริยะใส ก็ได้ใช้เวทีของสถานีโทรทัศน์ ASTV ช่อง news1 ชี้แจงแถลงไขที่มาที่ไปไปเรียบร้อย ส่วนการจะสร้างความเข้าใจในตัวคุณสุริยะใส ให้กับแฟนคลับของ ASTV และกลุ่มพันมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้มากน้อยแค่ไหน ย่อมขึ้นอยู่กับเหตุผลมุมมองของแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ คุณสุริยะใส กลับมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้งจากการที่นิตยสาร ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ได้นำเอาเรื่องดังกล่าวมาพาดขึ้นปก และเผยแพร่ในเว็บไซต์ ASTVmanager กับการพาดหัวว่า “สุริยะใส” ตายคาจอ ซึ่งเป็นการนำเอาเหตุการณ์ที่คนสนใจในรอบสัปดาห์มาสรุปเล่าเรื่องตามธรรมเนียมการเขียนของนิตยสารการเมืองสุดสัปดาห์ทั่วไป เฉกเช่นเนชั่นสุดสัปดาห์ และ มติชนรายสัปดาห์
และแน่นอน ASTV ในฐานะสื่อที่นำเสนอข่าวย่อมถูกนำมาผสมโรงกับการวิพากษ์วิจารณ์ด้วย ซึ่งทางเราน้อมรับทุกคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ผู้อ่านสละเวลาเข้ามาให้ข้อคิด เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด และอคติจากทุกฝ่าย จนกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เรื่องนี้เราจึงต้องมองในภาพรวมให้เข้าใจในแต่ละมิติ
เริ่มจากในมุมของคุณสุริยะใส กตะศิลา ที่ถือว่ารับคำวิพากษ์วิจารณ์ไปเต็มๆ จากกรณีนี้ที่ได้ตัดสินใจก้าวเดินขยับขยายตั้งกลุ่มการเมืองสีเขียวขึ้นมา เพื่อสานภาพความฝันบนถนนเส้นการเมือง หลังจากความคาดหวังในการลงแรงกับพรรคการเมืองใหม่ ไม่เป็นดังที่คิด
เมื่อพรรคการเมืองใหม่ และพันธมิตรฯ แยกทางกัน พันธมิตรฯ ก็ได้หันหลังให้กับระบบการเมืองในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะพรรคใหญ่อันดับสองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่หลายฝ่ายมองว่า น่าจะจับมือเป็นแนวร่วมทางการเมืองด้วยกันได้ และพรรคประชาธิปัตย์เองก็ได้อยู่เบื้องหลังของกลุ่มเสื้อหลากสี ขณะที่กลุ่มการเมืองต่างๆ ฝั่งไม่เอาทักษิณก็ตั้งกลุ่มย่อยของตนขึ้นมาคู่ขนาน
การที่ คุณสุริยะใส จะคิดตั้งกลุ่มการเมืองสีเขียวขึ้นมาบ้าง เพื่อสร้างแนวร่วมของตน โดยขยับขยายแนวร่วมผ่านทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ในทางกลับกัน อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้คนกลุ่มใหม่เข้ามาเป็นแรงสนับสนุน และความสัมพันธ์ของคุณสุริยะใสกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ยังคงเป็นการต่อสู้เคียงข้างกัน
เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีสถานีข่าว ASTV ช่อง news1 เป็นกระบอกเสียงที่ชัดเจน โดยที่สื่อหลักอื่นๆ พยายามที่จะปิดกั้นไม่ให้ผู้ทรงคุณวุฒิจากฝั่งนี้ไปออก เมื่อเทียบกับขั้วแนวทางการเมืองฝั่งอื่น การเชิญคุณสุริยะใสไปออกรายการเช้านี้ดูวู้ดดี้ จึงถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่ว่าคนจะชอบหรือไม่ แต่ต้องยอมรับว่าชั่วโมงนี้ นายวู้ดดี้ เจ้าของและพิธีกรรายการดังกล่าว สามารถสร้างกระแส talk of the town ได้อย่างสม่ำเสมอ
การออกรายการเช้าดูวู้ดดี้ของคุณสุริยะใส จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากไม่ได้ไปออกรายการร่วมกับ นายตุ๊ดตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ที่มีพฤติกรรมสุดโต่งที่เกินกว่าที่ชาวพันธมิตรฯ ที่สนับสนุนคุณสุริยะใส จะรับได้ในประเด็นของความเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่แม้จะอยู่คนละขั้วกัน แต่ยังมีการนัดพบแลกเปลี่ยนความคิดทางการเมืองกัน
ซึ่งอันที่จริง ถ้าคุณสุริยะใส จะใช้โอกาสนี้ในการพีอาร์ตัวเองอย่างฉลาด โดยใช้ นายจตุพรเป็นบันได เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อคุณสุริยะใสจะเป็นไปในอีกแนวทางหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะคุณสุริยะใสไม่ต้องการเรื่องมาก หรือให้เกียรติกับโปรดิวเซอร์รายการ ภาพและเสียงที่ปรากฏจึงออกมาตามที่รายการได้ออกอากาศไปแล้ว และ คุณสุริยะใสจะต้องยืดอกรับกับคำติชมอย่างลูกผู้ชาย ในฐานะที่ตนเป็นผู้ตัดสินใจไปออกอากาศ และยอมทำตามที่รายการขอด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ขณะเดียวกัน ในมุมมองของแฟนคลับคุณสุริยะใส ที่ไม่น้อยยังเหนียวแน่นกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ย่อมเกิดความผิดหวังกับสิ่งที่ปรากฏผ่านรายการ แน่นอนหลายคนในสังคมย่อมต้องมีเพื่อน หรือญาติพี่น้อง คนในครอบครัวที่มีความคิดทางการเมืองต่างกัน แต่สำหรับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะในความรู้สึกของคนที่ไม่เอากับแนวคิดเสื้อแดง นายจตุพรถือเป็นคนที่หน้าด้าน หน้าทน โกหกรายวัน ปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวาย เห็นแก่ตัว ทิ้งพวกพ้อง สู้เพื่อทักษิณ และที่สำคัญ มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังที่เขากำลังถูกดำเนินคดีอยู่ เรียกได้ว่าแรงชังของคนที่ไม่ชอบนายจตุพรไม่ได้แพ้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นนายแม้แต่น้อย
หลายคนจึงไม่ต้องการเห็นคุณสุริยะใสที่พวกเขารัก ไปเกลือกกลั้วกับคนพรรค์นี้ โดยเฉพาะกับคนที่ภาพความสูญเสียของเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ยังติดตา ที่พันธมิตรฯ ผู้บริสุทธิ์มือเปล่า ไร้อาวุธ ถูกเจ้าหน้าที่ปราบปรามด้วมความรุนแรง จนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ย่อมไม่อยากให้วีรชนผู้กล้าต้องตายเปล่า ไม่อยากให้มีใครในพันธมิตรฯ ไปสังฆกรรมกับคนเลวเผาบ้านเผาเมือง ในขณะที่ผู้ปราศรัยที่เขารักไม่ได้ตัดขาดกับบุคคลที่น่ารังเกียจผู้นี้ ซึ่งแม้ว่าคุณสุริยะใส จะบอกทีหลัง เมื่อมาออกอากาศทางสถานีข่าว ASTV news1 ว่า เป็นการพบกันพียงบังเอิญไม่กี่ครั้ง และคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องปกติในวิถีระบอบประชาธิปไตย โดยจุดยืนทางการเมืองของตนยังเป็นเช่นเดิม
และสุดท้ายในฝั่งของ ASTV ที่แฟนรายการทั้งที่เป็นพันธมิตรฯ และอีกหลายส่วนต้องการจับตาดูท่าทีว่าจะมีการนำเสนอเรื่องราวดังกล่าวหรือไม่ ถ้านำเสนอจะนำเสนออย่างไร ในส่วนของช่องข่าว news1 ก็ได้เปิดพื้นที่ให้คุณสุริยะใส ได้ทำความเข้าใจกับประชาชนไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ในฝั่งกองบรรณาธิการสิ่งพิมพ์ และเว็บไซต์ ได้นำเสนอรายงานเรื่องดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง โดยนำเสนอข้อมูลอย่างครบด้าน เพราะ ASTV เป็นสื่อของประชาชน จึงต้องกล้าพูดและกล้านำเสนอทุกเรื่องด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ และไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังใด ไม่ได้มีคำสั่งของใครทั้งสิ้น
เราไม่ได้ทำตัวเหมือนพรรคการเมืองบางพรรค ที่นำเอาบุคลากรทีมทนายของพรรคมาแทรกแซงคดีฆาตกรรมอื้อฉาวสะเทือนขวัญ เพียงเพราะผู้ต้องหาสังกัดอยู่พรรคการเมืองนั้น ซึ่งแน่นอนคุณสุริยะใส ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายบ้านเมือง และเช่นกันเราไม่ได้มีแนวคิดในการผลักมิตรให้ไปเป็นศัตรูอย่างที่ใครพยายามเสี้ยมกัน
เราเคารพการตัดสินใจของคุณสุริยะใส และเข้าใจหัวอกของคนที่รับเรื่องนี้ไม่ได้ ในเรื่องบางเรื่องต่างคนต่างความคิด ต่างวิธีการ เราไม่ได้มาบังคับให้ใครต้องดำเนินตามแบบเรากับการไม่เสวนาสังฆกรรมกับโมฆะบุรุษที่เกินเยียวยาทั้งหลาย หากคุณสุริยะใส ยังคงความเป็นเพื่อนกับคุณจตุพร สามารถแยกแยะมิตรภาพออกจากเรื่องการบ้านการเมืองได้ หวังว่าคุณสุริยะใส และผู้หลักผู้ใหญ่บางท่านคงจะแยกแยะการทำหน้าที่สื่อและการนำเสนอของ ASTV ในครั้งนี้ได้อย่างเช่นเดียวกัน
เรื่องนี้มีทั้งผู้ที่มองว่า ไม่เป็นเรื่องแปลกในเรื่องจุดยืนทางด้านการเมือง กับมิตรภาพที่แยกออกจากกันชัดเจน และผู้ที่มองว่า การไปแสดงที่จับมือออกสื่อ หรือการมีการนัดคุยกินข้าวแลกเปลี่ยนมุมมองทางการเมืองกันในบางครั้งตามที่นายจตุพรกล่าวอ้างนั้น เป็นเรื่องที่ทำลายความรู้สึกของผู้สนับสนุนการต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กรณีดังกล่าวได้สร้างแรงกดดันแก่คุณสุริยะใสอย่างพอสมควร และคุณสุริยะใส ก็ได้ใช้เวทีของสถานีโทรทัศน์ ASTV ช่อง news1 ชี้แจงแถลงไขที่มาที่ไปไปเรียบร้อย ส่วนการจะสร้างความเข้าใจในตัวคุณสุริยะใส ให้กับแฟนคลับของ ASTV และกลุ่มพันมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้มากน้อยแค่ไหน ย่อมขึ้นอยู่กับเหตุผลมุมมองของแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ คุณสุริยะใส กลับมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้งจากการที่นิตยสาร ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ได้นำเอาเรื่องดังกล่าวมาพาดขึ้นปก และเผยแพร่ในเว็บไซต์ ASTVmanager กับการพาดหัวว่า “สุริยะใส” ตายคาจอ ซึ่งเป็นการนำเอาเหตุการณ์ที่คนสนใจในรอบสัปดาห์มาสรุปเล่าเรื่องตามธรรมเนียมการเขียนของนิตยสารการเมืองสุดสัปดาห์ทั่วไป เฉกเช่นเนชั่นสุดสัปดาห์ และ มติชนรายสัปดาห์
และแน่นอน ASTV ในฐานะสื่อที่นำเสนอข่าวย่อมถูกนำมาผสมโรงกับการวิพากษ์วิจารณ์ด้วย ซึ่งทางเราน้อมรับทุกคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ผู้อ่านสละเวลาเข้ามาให้ข้อคิด เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด และอคติจากทุกฝ่าย จนกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เรื่องนี้เราจึงต้องมองในภาพรวมให้เข้าใจในแต่ละมิติ
เริ่มจากในมุมของคุณสุริยะใส กตะศิลา ที่ถือว่ารับคำวิพากษ์วิจารณ์ไปเต็มๆ จากกรณีนี้ที่ได้ตัดสินใจก้าวเดินขยับขยายตั้งกลุ่มการเมืองสีเขียวขึ้นมา เพื่อสานภาพความฝันบนถนนเส้นการเมือง หลังจากความคาดหวังในการลงแรงกับพรรคการเมืองใหม่ ไม่เป็นดังที่คิด
เมื่อพรรคการเมืองใหม่ และพันธมิตรฯ แยกทางกัน พันธมิตรฯ ก็ได้หันหลังให้กับระบบการเมืองในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะพรรคใหญ่อันดับสองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่หลายฝ่ายมองว่า น่าจะจับมือเป็นแนวร่วมทางการเมืองด้วยกันได้ และพรรคประชาธิปัตย์เองก็ได้อยู่เบื้องหลังของกลุ่มเสื้อหลากสี ขณะที่กลุ่มการเมืองต่างๆ ฝั่งไม่เอาทักษิณก็ตั้งกลุ่มย่อยของตนขึ้นมาคู่ขนาน
การที่ คุณสุริยะใส จะคิดตั้งกลุ่มการเมืองสีเขียวขึ้นมาบ้าง เพื่อสร้างแนวร่วมของตน โดยขยับขยายแนวร่วมผ่านทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ในทางกลับกัน อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้คนกลุ่มใหม่เข้ามาเป็นแรงสนับสนุน และความสัมพันธ์ของคุณสุริยะใสกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ยังคงเป็นการต่อสู้เคียงข้างกัน
เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีสถานีข่าว ASTV ช่อง news1 เป็นกระบอกเสียงที่ชัดเจน โดยที่สื่อหลักอื่นๆ พยายามที่จะปิดกั้นไม่ให้ผู้ทรงคุณวุฒิจากฝั่งนี้ไปออก เมื่อเทียบกับขั้วแนวทางการเมืองฝั่งอื่น การเชิญคุณสุริยะใสไปออกรายการเช้านี้ดูวู้ดดี้ จึงถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่ว่าคนจะชอบหรือไม่ แต่ต้องยอมรับว่าชั่วโมงนี้ นายวู้ดดี้ เจ้าของและพิธีกรรายการดังกล่าว สามารถสร้างกระแส talk of the town ได้อย่างสม่ำเสมอ
การออกรายการเช้าดูวู้ดดี้ของคุณสุริยะใส จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากไม่ได้ไปออกรายการร่วมกับ นายตุ๊ดตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ที่มีพฤติกรรมสุดโต่งที่เกินกว่าที่ชาวพันธมิตรฯ ที่สนับสนุนคุณสุริยะใส จะรับได้ในประเด็นของความเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่แม้จะอยู่คนละขั้วกัน แต่ยังมีการนัดพบแลกเปลี่ยนความคิดทางการเมืองกัน
ซึ่งอันที่จริง ถ้าคุณสุริยะใส จะใช้โอกาสนี้ในการพีอาร์ตัวเองอย่างฉลาด โดยใช้ นายจตุพรเป็นบันได เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อคุณสุริยะใสจะเป็นไปในอีกแนวทางหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะคุณสุริยะใสไม่ต้องการเรื่องมาก หรือให้เกียรติกับโปรดิวเซอร์รายการ ภาพและเสียงที่ปรากฏจึงออกมาตามที่รายการได้ออกอากาศไปแล้ว และ คุณสุริยะใสจะต้องยืดอกรับกับคำติชมอย่างลูกผู้ชาย ในฐานะที่ตนเป็นผู้ตัดสินใจไปออกอากาศ และยอมทำตามที่รายการขอด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ขณะเดียวกัน ในมุมมองของแฟนคลับคุณสุริยะใส ที่ไม่น้อยยังเหนียวแน่นกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ย่อมเกิดความผิดหวังกับสิ่งที่ปรากฏผ่านรายการ แน่นอนหลายคนในสังคมย่อมต้องมีเพื่อน หรือญาติพี่น้อง คนในครอบครัวที่มีความคิดทางการเมืองต่างกัน แต่สำหรับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะในความรู้สึกของคนที่ไม่เอากับแนวคิดเสื้อแดง นายจตุพรถือเป็นคนที่หน้าด้าน หน้าทน โกหกรายวัน ปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวาย เห็นแก่ตัว ทิ้งพวกพ้อง สู้เพื่อทักษิณ และที่สำคัญ มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังที่เขากำลังถูกดำเนินคดีอยู่ เรียกได้ว่าแรงชังของคนที่ไม่ชอบนายจตุพรไม่ได้แพ้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นนายแม้แต่น้อย
หลายคนจึงไม่ต้องการเห็นคุณสุริยะใสที่พวกเขารัก ไปเกลือกกลั้วกับคนพรรค์นี้ โดยเฉพาะกับคนที่ภาพความสูญเสียของเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ยังติดตา ที่พันธมิตรฯ ผู้บริสุทธิ์มือเปล่า ไร้อาวุธ ถูกเจ้าหน้าที่ปราบปรามด้วมความรุนแรง จนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ย่อมไม่อยากให้วีรชนผู้กล้าต้องตายเปล่า ไม่อยากให้มีใครในพันธมิตรฯ ไปสังฆกรรมกับคนเลวเผาบ้านเผาเมือง ในขณะที่ผู้ปราศรัยที่เขารักไม่ได้ตัดขาดกับบุคคลที่น่ารังเกียจผู้นี้ ซึ่งแม้ว่าคุณสุริยะใส จะบอกทีหลัง เมื่อมาออกอากาศทางสถานีข่าว ASTV news1 ว่า เป็นการพบกันพียงบังเอิญไม่กี่ครั้ง และคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องปกติในวิถีระบอบประชาธิปไตย โดยจุดยืนทางการเมืองของตนยังเป็นเช่นเดิม
และสุดท้ายในฝั่งของ ASTV ที่แฟนรายการทั้งที่เป็นพันธมิตรฯ และอีกหลายส่วนต้องการจับตาดูท่าทีว่าจะมีการนำเสนอเรื่องราวดังกล่าวหรือไม่ ถ้านำเสนอจะนำเสนออย่างไร ในส่วนของช่องข่าว news1 ก็ได้เปิดพื้นที่ให้คุณสุริยะใส ได้ทำความเข้าใจกับประชาชนไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ในฝั่งกองบรรณาธิการสิ่งพิมพ์ และเว็บไซต์ ได้นำเสนอรายงานเรื่องดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง โดยนำเสนอข้อมูลอย่างครบด้าน เพราะ ASTV เป็นสื่อของประชาชน จึงต้องกล้าพูดและกล้านำเสนอทุกเรื่องด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ และไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังใด ไม่ได้มีคำสั่งของใครทั้งสิ้น
เราไม่ได้ทำตัวเหมือนพรรคการเมืองบางพรรค ที่นำเอาบุคลากรทีมทนายของพรรคมาแทรกแซงคดีฆาตกรรมอื้อฉาวสะเทือนขวัญ เพียงเพราะผู้ต้องหาสังกัดอยู่พรรคการเมืองนั้น ซึ่งแน่นอนคุณสุริยะใส ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายบ้านเมือง และเช่นกันเราไม่ได้มีแนวคิดในการผลักมิตรให้ไปเป็นศัตรูอย่างที่ใครพยายามเสี้ยมกัน
เราเคารพการตัดสินใจของคุณสุริยะใส และเข้าใจหัวอกของคนที่รับเรื่องนี้ไม่ได้ ในเรื่องบางเรื่องต่างคนต่างความคิด ต่างวิธีการ เราไม่ได้มาบังคับให้ใครต้องดำเนินตามแบบเรากับการไม่เสวนาสังฆกรรมกับโมฆะบุรุษที่เกินเยียวยาทั้งหลาย หากคุณสุริยะใส ยังคงความเป็นเพื่อนกับคุณจตุพร สามารถแยกแยะมิตรภาพออกจากเรื่องการบ้านการเมืองได้ หวังว่าคุณสุริยะใส และผู้หลักผู้ใหญ่บางท่านคงจะแยกแยะการทำหน้าที่สื่อและการนำเสนอของ ASTV ในครั้งนี้ได้อย่างเช่นเดียวกัน