xs
xsm
sm
md
lg

ในวันที่ ‘เอเอสทีวี...จอดับ’ แต่ไม่ลาลับซึ่งอุดมการณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เชื่อว่าภาพจอดำที่ปรากฏต่อหน้าสาธาณชนของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 17 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา คงสร้างความสงสัยต่อผู้รับชมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะแฟนรายการของเอเอสทีวีที่หลั่งไหลโทร.เข้ามาสอบถามเหตุดังกล่าวด้วยความอาทร

ไม่นานนักผู้บริหารระดับสูงก็ได้ออกมาชี้แจงว่า สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีได้ถูกตัดสัญญาณจากดาวเทียม NSS-6 ของบริษัท นิวสกาย แซทเทลไลต์ จำกัด ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพราะค้างค่าเช่าช่องสัญญาณมานานกว่า 6 เดือน เป็นเงินจำนวน 4 แสนเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 12 ล้านบาท) ถึงแม้จะมีการพยายามเจรจาผ่อนปรนในการชำระหนี้ แต่ทางบริษัทผู้ให้เช่าสัญญาณนั้นไม่ยินยอม

สำหรับสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ก่อตั้งเมื่อปี 2546 เป็นช่องฟรีทีวีสถานนีข่าวผ่านดาวเทียมแห่งแรกของประเทศไทยที่นำเสนอรายการตลอด 24 ชม. รู้จักกันดีในชื่อ news1 โดยทำการส่งผ่านดาวเทียม NSS-6 และส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปยังฮ่องกง แพร่ภาพในประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ พม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนิเซีย อินเดียตะวันออก ฮ่องกง ฯลฯ

แม้สัญญาณดาวเทียมของเอเอสทีวีนั้น จะถูกตัดออกจากสารระบบ แต่ธารน้ำใจของบรรดาพันธมิตรทั่วประเทศนั้นมิได้ลดน้อยถอยลง มิหน่ำซ้ำยังหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือตามกำลังทรัพย์ตามแต่จะช่วยได้ อย่างไรก็ตาม แม้เวลานี้ยังไม่สามารถรับชมเอเอสทีวีผ่านดามเทียมได้แต่ผู้ชมก็ยังสามารถรับชมผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ จากนี้ก็คงต้องจับตามองกันต่อไปว่าอนาคตของสถานีข่าวเอเอสทีวีจะเดินไปในทิศทางใด

สังคม (การ) เมืองจะขาดความสมดุล
ผลกระทบสำคัญอย่างหนึ่งที่จะตามมาหลังจากเอเอสทีวีจอดับลง ในมุมมองของนักวิชาการด้านสื่ออย่าง รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา กล่าวว่า มันย่อมส่งผลกระทบต่อแวดวงการนำเสนอข่าวอย่างแน่นอน เพราะต้องยอมรับความจริงก่อนว่า ที่นี่เป็นสื่อเลือกข้างอย่างชัดเจน ฉะนั้นเมื่อข้างหนึ่งหายไป การนำเสนอข้อมูลบางอย่างก็จะหายตามไปด้วยเช่นกัน และที่สำคัญบทบาทของเอเอสทีวีก็ไม่สามารถหาสื่ออื่นๆ มาทดแทนได้ด้วย เพราะคงไม่มีใครจะกล้าไปแกว่งเท้าหาเสี้ยน เสนอเรื่องที่อาจจะนำปัญหามาสู่ตนเองแน่

"เมื่อเอเอสทีวีหายไป มันจะส่งผลต่อบาลานซ์ (ความสมดุล) ของข่าว ยิ่งหากเป็นรัฐบาลชุดนี้ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ เอเอสทีวีมาโดยตลอด ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะมันก็เหมือนกับว่าฝ่ายนั้นจะพูดอะไรก็ไม่มีคนไปถ่วงเขา เนื่องจากต้องยอมรับว่า ถึงแม้ตอนนี้ข่าวมันจะไม่บาลานซ์สักเท่าไหร่ เพราะเอเอสทีวีไม่ใช่ฟรีทีวี ขณะที่ฝ่ายนั้นพูดทางฟรีทีวีก็เลยได้เปรียบกว่า แต่มันก็ยังพอใกล้เคียงกับความบาลานซ์อยู่ พอไม่มีเลยมันก็ยิ่งห่างไกลเข้าไปใหญ่ เพราะช่องอื่นมันทำไม่ได้ ช่อง 9 ช่อง 11 รัฐก็คุม ช่อง 3 กับ 7 ก็บันเทิง ส่วนคนอื่นใครเขาอยากจะมีปัญหา เรื่องอื่นมีให้ทำตั้งเยอะแยะ เรื่องอะไรจะไปทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับเขา"

ถึงแม้จะออกอากาศทางอินเทอร์เน็ตก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก รศ.ดร.เสรี กล่าวเพิ่มเติมว่า คนที่รับข่าวสารส่วนใหญ่ดูผ่านจอโทรทัศน์ทั้งนั้น ไม่ค่อยมีคนดูผ่านจอคอมพิวเทอร์ และแน่นอนสิ่งที่ตามมาก็คือ การตรวจสอบรัฐบาลจะไปอยู่ในอินเทอร์เน็ตแทน ข่าวลือจะตามมาอีกเต็มไปหมดทั้งในเฟซบุ๊กและเว็บบอร์ด การรับรู้ข่าวสารของผู้คนก็จะเป็นไปอย่างนอกลู่นอกทาง

เพราะฉะนั้น ทางออกของเรื่องนี้มีอยู่อย่างเดียวก็คือ เอเอสทีวีจำเป็นต้องหาพันธมิตรที่สนับสนุนตัวเองให้มากขึ้น ซึ่งคงต้องยอมรับว่าช่วงนี้เอเอสทีวีเริ่มหาพันธมิตรยาก เพราะที่ผ่านมาเอเอสทีวีแสดงบทบาทที่รุนแรงกับทุกฝ่ายมากเกินไปจนหลายๆ ฝ่ายไม่กล้าเข้าร่วมสนับสนุน รศ.ดร.เสรี ยังเสนอแนะว่า หากเอเอสทีวีจะควรจะปรับเปลี่ยนลีลาและน้ำเสียงการเสนอข่าวบางอย่าง เช่นการเลือกคำในการวิพากษ์วิจารณ์ ก็ไม่จำเป็นที่ต้องใช้คำที่รุนแรงจนเกินไป จนคนที่ถูกวิจารณ์รับไม่ได้

ลมหายใจที่เหลืออยู่
“ผมเคยบอกว่าจะทำ เอเอสทีวีจนกว่าจะไม่มีแรงทำ และวันนี้ก็มาถึง” สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเอเอสทีวี เปิดเผยความในเกี่ยวกับการถูกตัดสัญญาณดาวเทียมของเอเอสทีวีอย่างหมดเปลือกผ่านเว็บไซต์ www.manager.co.th พร้อมทั้งยอมรับในเรื่องค้างค่าดาวเทียม NSS-6 เวลา 6 เดือน คิดเป็นเงินประมาณ 4 แสนเหรียญฯ ซึ่งตามข้อตกลงเดิมนั้นจะมีการชำระหนี้ค้างรวดเดียวในช่วงสิ้นปี แต่ทางบริษัทนิวสกายฯ ผู้ให้เช่าสัญญาณได้มีการเปลี่ยนเจ้าของใหม่และไม่ยอมรับข้อตกลงดังกล่าวจึงเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น ซึ่งที่ไม่สามารถชำระได้ทั้งหมดเพราะต้องนำเงินมาจ่ายแก่พนักงานผู้เป็นกำลังสำคัญของเอเอสทีวี

อย่างไรก็ตาม สนธิ ก็ยืนยันถึงอนาคตของเอเอสทีวีว่าพนักงานทุกคนจะยังทำงานในหน้าที่สื่อมวลชนต่อไปเช่นเดิม ถึงแม้จะยุติการออกอากาศผ่านดาวเทียมแต่ แฟนๆ เอเอสทีวียังสามารถรับชมการออกอากาศผ่านระบบอินเทอร์เน็ตกันได้

สำหรับประวัติของเอเอสทีวีนั้น เป็นสถานีโทรทัศน์ข่าวสาร โดยการบริหารของบริษัทไทยเดย์ดอตคอม จำกัด ในเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 4 มีนาคม 2546 ในชื่อว่าช่อง 11 นิวส์ 1 เนื่องจากในช่วงนั้น พ.ต.อ.รวมนคร ทับทิมธงไชย กรรมการผู้จัดการบริษัทบริษัท บีทีวี อาร์เอ็นที จำกัด ได้รับสิทธิจากกรมประชาสัมพันธ์ให้ขยายช่องสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ออกไปจำนวน 8 ช่อง โดยช่อง 11/1 หรือช่อง 11 จังหวัดขอนแก่นนั้น พ.ต.อ.รวมนครได้รชักชวนให้บริษัทไทยเดย์ฯ เข้ามาร่วมผลิต และถ่ายทอดสัญญาณผ่านทางเคเบิ้ลทีวี ยูบีซี ช่อง 9

ต่อมา เมื่อเดือนกันยายน 2547 ที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ามาทำการตรวจสอบสัญญาณของช่อง 11 กับบริษัทบีทีวีฯ พบว่าไม่ถูกต้อง ทำให้การออกอากาศทางยูบีซีต้องยุติลง ระหว่างนั้นทางผู้ผลิตช่อง 11 นิวส์ 1 จึงแยกออกมาดำเนินกิจการของตัวเอง และเปลี่ยนชื่อเหลือเพียงแค่ นิวส์ 1 เท่านั้น และเปลี่ยนมาออกอากาศผ่านจานดาวเทียมไทยคม และเคเบิ้ลท่องถิ่นในต่างจังหวัดแทน ก่อนจะมีการเปลี่ยนช่องทางออกอากาศครั้งเป็นถ่ายทอดผ่านดาวเทียม nss6 ในปีต่อมา

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดก็คือในช่วงปี 2549 เมื่อสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานและพฤติกรรมของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ามีความไม่ชอบมาพากล ผ่านทางรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางช่อง 9 จนถูกถอดรายการ จึงหันมาใช้ช่อง นิวส์ 1 เป็นตัวถ่ายทอดความเคลื่อนไหวแทน พร้อมกับการถ่ายทอดสดบรรยากาศการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแบบ 24 ชั่วโมงอีกต่างหาก

ซึ่งผลจากครั้งนั้นนอกจากจะนำมาสู่กระบวนการขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณสำเร็จแล้ว ยังถือว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ทีวีดาวเทียมให้เกิดขึ้นในประเทศไทยด้วย เพราะช่วงนั้นรัฐบาลพยายามกดดันผู้ประกอบการเคเบิ้ลทีวีถอดช่องนิวส์1 ออกจากผัง ทำให้บริษัทต้องประชาสัมพันธ์ให้คนหันมาติดจานดาวเทียมแทน เพื่อรับชมช่องสัญญาณ แต่เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มีความชัดเจนทางด้านกฎหมาย รัฐบาลจึงพยายามไล่ปิดสถานีโดยอ้างว่า ผิดกฎหมายจนผู้บริหารช่องต้องยื่นทำร้องต่อศาลปกครองขอคำสั่งคุ้มครอง ก่อนที่ชนะคดีในที่สุด และสามารถถ่ายทอดรายการต่อไปได้

และมีการขยายงานอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันมีสถานีโทรทัศน์อยู่ในเครือถึง 6 ช่องคือ ASTV News1, Tan Network. Super บันเทิง, อีสาน TV, E-Biz และ ASTV Shopping

อย่างไรก็ดี แม้สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีจะได้รับความนิยมอย่างสูง แต่ก็ประสบปัญหาด้านการเงินมาโดยตลอด เนื่องจากมีผู้สนับสนุนรายการค่อนข้างน้อย เพราะจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน ทำให้ต้องมีการขอรับเงินบริจาคจากบรรดาผู้ชม รวมทั้งมีการขายสินค้าเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน ซึ่งก็ถือว่ายังไม่เพียงพอที่จะทำให้สถานีดำเนินงานต่อไปนี้ โดยเฉพาะการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม เพื่อส่งต่อให้ผู้ชมที่เฝ้ารออยู่หน้าจอโทรทัศน์

สารจากแฟนพันธ์แท้ ‘เอเอสทีวี’
ข้ามมาฟังความรู้สึกจากแฟนๆ ผู้ติดตามสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีกันมาอย่างต่อเนื่องกันบ้าง สมหวัง ถิ่นโพธิ์ เป็นอีกหนึ่งท่านที่เป็นแฟนตัวยงของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ และรายการอื่นๆ ก็ได้เปิดเผยว่ารู้สึกใจหาย ที่จู่ๆ เอเอสทีวีที่เขารับชมเป็นประจำนั้นหายไปจากหน้าจอโทรทัศน์

“ตอนแรกก็คิดว่าจานดาวเทียมเรามีปัญหารึเปล่า แต่พอรู้ข่าว...ใจหล่นถึงตาตุ่มเลย มันนึกไม่ถึง เพราะเราก็ดูเป็นประจำ

“ชอบ! ที่เขาเอาความจริงมาพูดให้เราฟัง บางทีดูช่องอื่น มันฟังแล้วมันขัดใจ ก็เห็นอยู่ ความจริงอย่างหนึ่งแต่จัดรายการไปอีกอย่างหนึ่ง เอเอสทีวีทำให้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เฉพาะแต่คุณสนธิ จะมีนักวิชาการที่มาให้ความรู้เราอีกหลายคน เราก็ชอบ”

ถึงแม้จะเอเอสทีวีจะไม่ได้ออกอากาศทางโทรทัศน์เธอก็จะติดตามต่อทางหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งที่ผ่านมาเธอก็ช่วยเหลือตามกำลังโดยการสมัครบริการเอสเอ็มเอสข่าวทุกเดือน

ด้าน สมาน เกราะเหล็ก ก็เปิดเผยว่าเหตุการณ์ไม่คาดคิดดังกล่าวทำให้ขาดการรับรู้ในเรื่องความเคลื่อนไหวของเหตุบ้านการเมือง เพราะที่ผ่านมาเปิดรับข้อมูลจากเอเอสทีวีมาโดยตลอด

“ดูเอเอสทีวีแล้วทำให้เรากล้าหาญขึ้น เพราะได้เรียนรู้จากเอเอสทีวีในเรื่องการต่อสู้ ตอนนี้มันเหมือนเราไม่มีความรู้สึกอยากดูโทรทัศน์อีกเลย ไม่อยากดูช่องอื่นด้วย”

อย่างไรก็ตามขณะนี้ก็ได้มีการพูดคุยในหมู่ผู้ติดตามเอเอสทีวีหลายๆ คนว่าเกิดอะไรขึ้น และจะสามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง

“ความที่เราเป็นสมาชิกคนหนึ่งและเป็นพันธมิต รเราสามารถช่วยอะไรได้บ้าง จะแก้ไข จะประชุมอะไรอย่างไร ก็รอคำตอบจากทางเอเอสทีวีว่าจะเอาอย่างไร สามารถให้เราช่วยอะไรได้บ้าง อะไรที่พอจะช่วยเหลือได้เราก็พร้อมจะช่วย”

เช่นเดียวกัน ผู้ติดตามรับชมมาอย่างสม่ำเสมอ อย่าง พรสวรรค์ สุดตาสอน ก็รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเพราะไม่ได้รับชมในสิ่งที่เคยรับชมอยู่ทุกวัน

“พอไม่มีเอเอสทีวีก็เหมือนขาดอะไรไปอย่าง ตอนนี้ไม่เปิดทีวีเลย ไม่อยากดูช่องไหน”

ซึ่งเธอก็กำลังปรึกษากับเพื่อนทางอเมริกาว่าจะช่วยเหลืออย่างไรให้มีเอเอสทีวีกลับมาอีกครั้ง สำหรับตอนนี้ก็ติดตามเอเอสทีวีผ่านทางอินเทอร์เน็ตและซื้อหนังสือพิมพ์เพื่อติดตามข่าวทุกวัน

ส่วน สิทธิพร มงคลโสฬส อีกหนึ่งแฟนรายการที่ติดตามเอเอสทีวีมาอย่างเหนียวแน่น บอกถึงความรู้สึกที่มีต่อเอเอสทีวีว่าเป็นสถานีโทรทัศน์ที่ดีที่สุดในเมืองไทย

“รู้สึกว่ามีรายการที่ดีมาก ในแง่มุมของการให้สาระความรู้ และความจริง ทำให้รู้รอบด้านของสิ่งเกิดขึ้นว่ามันมีเบื้องหลังอย่างไรที่ไม่ดีบ้าง เอเอสทีวีก็มาเปิดเผยความจริง ทีแรกก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็คอยเปิดดูเผื่อจะกลับมา จนกระทั้งรู้ว่าจอดับ ก็รู้สึกแย่มาก รู้สึกเสียดาย ”

อย่างไรก็ตาม แม้ในตนจะไม่มีกำลังทรัพย์พอจะช่วยเหลืออะไรได้ สิ่งที่ช่วยได้คงจะมีแต่กำลังใจเท่านั้น ซึ่งเขามองว่า เอเอสทีวีจะต้องพบทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ช้านี้อย่างแน่นอน

สำหรับแฟนเอเอสทีวีอีกท่าน ดาบตำรวจหญิง กนกวรรณ ศิริศุภกุล ก็สนับสนุความคิดเห็นของแฟนพันธ์แท้เอเอสทีวีหลายๆ ท่านว่า เป็นช่องรายการที่มีสาระ และให้ประโยชน์แต่สังคม ซึ่งเหตุการณ์จอดับที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่อยากจะเปิดทีวีดูอะไรอีกเลย

“ถ้าเปิดทีวีก็ต้องเปิดดูเอเอสทีวี เพราะมีแต่ข่าวดีๆ ไม่ได้มีแต่ละครน้ำเน่า คืออยากจะให้กลับมาเปิดอีก ตอนนี้ไม่รู้จะทำอะไรเลย ทุกวันนี้ก็ช่วยอย่างเต็มที่เท่าที่จะช่วยได้แล้ว”

ทั้งนี้เธอก็ได้ให้ความสนับสนุนเอเอสทีวีมาโดยตลอดโดยบริจาคเดือนละหนึ่งพันบาทมาอย่างต่อเนื่อง แถมยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะติดตามผ่านอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน
..........

ถึงแม้วันนี้เอเอสทีวีจะร้างราไปจากหน้าจอโทรทัศน์ แต่ก็ยังมีช่องทางอื่นให้ได้ติดตามข่าวสารสาระบันเทิงกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ทั้งนั้นชาวเอสเอสทีวีทุกคนก็คงยังปฏิบัติหน้าที่เคียงคู่ต่อไปดั่งเช่นเดิม แม้วันนี้อำนาจของเงินจะพรากความถูกต้องไป แต่ธารกำลังใจที่หลั่งไหลเข้ามาคงช่วยฟื้นกำลังให้เอเอสทีวีกลับมาผงาดได้อย่างภาคภูมิอีกครั้ง…
>>>>>>>>>>

………
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพรายวัน


กำลังโหลดความคิดเห็น