ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กลายเป็นประเด็นฮอตข้ามปีทีเดียว สำหรับ"คำทำนาย เด็กชายปลาบู่" หรือ"ด.ช.สุทัศน์ คำสี" ที่พยากรณ์ถึงโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นในคืนวันปีใหม่ 2555 ว่า เขื่อนในจังหวัดตาก ซึ่งก็คือ"เขื่อนภูมิพล"จะพังพินาศ กลายเป็นเรื่องที่ถูกส่งต่อและมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมายในสังคมออนไลน์จนกลายเป็นทอลกค ออฟ เดอะ ทาวน์ ของผู้คนมากมายให้ถกเถียงกันว่าประเทศไทยจะเกิดเหตุร้ายตามคำกล่าวอ้างของ นายทองใบ คำสี ผู้เป็นบิดาของเด็กชายปลาบู่ หรือไม่
และแล้วเมื่อเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ผลก็ปรากฏออกมาว่า สถานการณ์โดยรวมที่บริเวณเขื่อน เป็นไปตามปกติ ไม่ได้มีการแตกร้าว หรือพังทลายตามคำทำนายของเด็กชายปลาบู่แต่อย่างใด ทำให้ผู้มาร่วมงานนับพันต่างโห่ร้องแสดงความยินดี ก่อนจะมีการจุดพลุกลางน้ำเฉลิมฉลองในการเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ และภายหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรม นักท่องเที่ยวก็ต่างทยอยเดินทางกลับโดยไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น
ทำเอาคำทำนายของเด็กชายปลาบู่ สุดท้ายก็เป็นแค่ความเชื่อที่จับต้องหาความจริงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
แต่เหตุการณ์เรื่องคำทำนายของเด็กชายปลาบู่ ดูเหมือนว่าก็ยังไม่ได้สิ้นสุดแค่วันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมาเท่านั้น เพราะได้เกิดผลพวงไปถึงนายทองใบ คำสี ผู้เป็นบิดาของเด็กชายปลาบู่ ชนิดทันทีทันใด เมื่อนายสงคราม มนัสสา ส.อบจ.ตาก เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายทองใบ คำสี ในข้อหาหลอกลวงเล่าความเท็จทำให้ประชาชนชาวเมืองตาก ได้รับความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
นายสงคราม เปิดเผยว่าเหตุผลที่แจ้งความเพราะตนเป็นส.อบจ. เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน เมื่อประชาชนได้รับความเดือดร้อนก็ต้องช่วยเหลือ จึงเข้าแจ้งความเพื่อเอาผิดกับนายทองใบ แต่จะไม่แจ้งความทางแพ่งเรียกค่าเสียหาย เนื่องจากเห็นว่าอายุมากแล้ว การดำเนินคดีครั้งนี้เพื่อให้หลาบจำต่อไปจะได้ไม่ปล่อยข่าวหลอกลวงอีก ที่ผ่านมาก็สร้างความเสียหายให้ชาวเมืองตากอย่างมาก นักท่องเที่ยวที่เคยมาเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ มาเที่ยวงานตากสินราชนุสรณ์และงานกาชาดจังหวัดตากกันเป็นจำนวนนับแสนคน แต่ปีนี้มีไม่ถึง 10% เงินหายไปจากระบบมากกว่า 400 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก รีสอร์ท พนักงานต่างไม่ได้รับโบนัสช่วงสิ้นปี เพราะธุรกิจไม่มีกำไร นักธุรกิจเดือดร้อนกันทั่วหน้าในช่วงปีใหม่ แต่เมื่อเขื่อนไม่แตกตามคำทำนายของนายทองใบ ประชาชนต่างพากันประณามไปต่าง ๆ นานา เพราะได้รับความเดือดร้อนไม่เป็นอันกินอันนอน เป็นโรคเครียดกันจำนวนมาก เพราะกลัวเขื่อนแตก จึงขออย่าได้ปล่อยข่าวในทำนองนี้อีก
ขณะที่ นายทองใบ เปิดเผยว่า รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้วิตกกังวลต่อเรื่องนี้ เพราะตนเองอายุมากแล้วไม่กลัวอะไร ในส่วนที่จังหวัดตากมีการจัดงานเคานต์ดาวน์บนสันเขื่อนเป็นส่วนที่จังหวัดตากทำกันขึ้นเอง
“คำทำนายที่เด็กชายปลาบู่ได้ทำนายไว้ว่าเขื่อนภูมิพลจังหวัดตากจะแตกนั้น ไม่มีใครเชื่อแต่ว่าเด็กชายปลาบู่ไม่ได้พูดว่า วันที่ 31 ธันวาคม 2554 จะแตก เด็กชายปลาบู่พูดเพียงว่ายามสองคืนปีใหม่ แผ่นดินไหวคนไทยเมา ปีใหม่นี้เป็นปีใหม่ฝรั่งแต่ยังมีปีใหม่ไทย จีน ลาว แขกและเขมรอีก และยังมีปีใหม่ของปี 2555 อีก ซึ่งก็ยังมั่นใจว่าคำทำนายของลูกชายที่จากไปจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จะเดือนไหนไม่รู้ ส่วนยามสอง ยามสาม และยามสี่ที่คนโบราณพูดกันนั้นมันก็เป็นเวลาประมาณ 22.00-24.00 น.”
พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า "คำทำนายที่เขียนมาจากคำบอกเล่าของเด็กชายปลาบู่ ซึ่งก่อนตายลูกชายบอกไว้ และคิดว่าเป็นเรื่องจริง ด้วยเจตนาบริสุทธิ์จึงบอกเล่าให้พระบอย (ไม่ทราบชื่อจริง) เป็นพระสายธรรมยุต ซึ่งเดินทางมาจากวัดเขาชำปรง อ.เมืองจันทบุรี มาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ลับแลเมื่อพรรษาที่ผ่านกระทั่งวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จึงออกเดินธุดงค์ออกไป ต่อมาทราบว่าพระบอยเป็นผู้นำไปลงเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต โดยระบุว่าตนเป็นผู้เปิดเผยข้อความ" นายทองใบ ระบุ
"หากเหตุการณ์ที่ลูกชายทำนายไว้ไม่เกิดขึ้น ตนพร้อมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ในส่วนของหมายเรียกก็เซ็นรับทราบไปแล้ว และพร้อมที่จะไปพบพนักงานสอบสวนที่จังหวัดตาก แต่ยังไม่รู้ว่าจะเดินทางไปอย่างไร"
นอกจากนี้ ดูเหมือนมรสุมจะไม่หมดจากนายทองใบเพียงแค่นั้น สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก หอการค้าจังหวัดตาก และสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดตาก 3 องค์กรเอกชนตากก็มีการขู่ว่าจะฟ้องร้องด้วยเช่นกัน เรียกว่าเป็นเรื่องราวใหญ่โต เรียกค่าเสียหายกันอย่างยกใหญ่ ซึ่งก็ต้องติดตามต่อไปว่าสุดท้ายแล้วเรื่องจะจบลงเช่นไร
อย่างไรก็ตาม จะว่าไปแล้วเหตุการณ์ดังกล่าวที่ได้ทำให้ประชาชนแตกตื่นคงจะไปกล่าวโทษ นายทองใบ ฝ่ายเดียวคงไม่ได้ เพราะจะว่ากันในความเป็นจริงแล้ว หาใช่ว่าเหตุการณ์คำทำนายปลาบู่ จะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเสียเมื่อไหร่ ที่ผ่านมาประชาชนก็ยังคงได้ยินคำทำนายจากโหร หรือหมอดู ดวงบ้านดวงเมืองว่าจะเกิดเหตุอันตรายขั้นเลวร้ายในลักษณะต่างๆ กันมาบ้างอยู่แล้ว และใช่ว่านายทองใบจะเป็นคนมีชื่อเสียงสามารถเปิดโต๊ะแถลงข่าวได้เสียเมื่อไหร่
ไม่ต้องอื่นไกล ถ้าจะยกตัวอย่างคนที่ควรถูกฟ้องร้องในกรณีที่นำความเสียหายมาให้บ้านเมืองมากที่สุดในเรื่องน้ำท่วม ก็เห็นจะต้องเป็นคนในบรรดา ศปภ.เสียมากกว่า ซึ่งเชื่อว่าประชาชนคงจะจำแบบชนิดไม่มีวันลืม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวลี “เอาอยู่” ที่ออกมาจากปากของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่สุดท้ายแล้วแม้แต่สนามบินดอนเมืองที่เป็นที่ตั้งของ ศปภ.ก็ยังถูกน้ำท่วม
ดังนั้น จึงเป็นคำถามเปรียบเทียบเช่นกันว่าคำนายของเด็กชายปลาบู่ที่ท้ายสุดแล้ว นายทองใบ ผู้เป็นพ่อ ต้องถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกว่า 400 ล้าน กับความเสียหายจากมหาอุทกภัยอันเกิดมาจากการบริหารจัดการที่ห่วยแตก อันไหนส่งผลเลวร้ายต่อคนในประเทศไทยมากกว่ากัน
ขณะเดียวกันคงต้องบอกว่า คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ ได้ถูกปล่อยและสร้างกระแสได้พอเหมาะพอเจาะเสียนี่กระไร เพราะต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยเพิ่งตื่นจากฝันร้าย จากภาวะน้ำท่วมไปหลายต่อหลายจังหวัด ซึ่งได้สร้างความเศร้าสลดใจแก่คนไทยทั้งประเทศอยู่ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักหากบางคนจะพาลนึกไปว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังคำทำนายของเด็กชายปลาบู่ และยิ่งข่าวลือว่าปี 2012 โลกจะแตกบ้าง ก็ยิ่งทำให้ข่าวลือดูจะถูกแพร่สะพัดให้เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือขึ้นในทันที
ยิ่งย้อนกลับไปก็จะเห็นความแตกตื่น ความตื่นกลัวของประชาชน แบบเป็นรูปธรรมสะท้อนบางสิ่งบางอย่างในสังคมไทยได้เป็นอย่างดี อาทิ ชาวบ้านในพื้นที่ท้ายเขื่อนที่อยู่ใกล้เขื่อนภูมิพลมากที่สุด คือ ราษฎรที่อำเภอบ้านตาก จากพื้นที่ตำบลท้องฟ้า และตำบลอื่นๆ ได้ไปจับจองพื้นที่สูงอาทิ ดอยโล้น ในตำบลท้องฟ้า โดยมีแผนการเตรียมการที่จะเดินทางไปอาศัยอยู่ในในวันที่ 31 ธ.ค.
หรือที่สำนักสงฆ์ลับแล ที่ประชาชนทุกสารทิศได้แห่ขึ้นไปเดินทางพิสูจน์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ โดยสำนักสงฆ์ถึงกับต้องว่าจ้างรถแบ็กโฮ รถไถ เข้ามาปรับพื้นที่รองรับประชาชนที่เดินทางมาจากทุกสารทิศ เนื่องจากปัจจุบันทางขึ้นสำนักสงฆ์แห่งนี้เป็นเส้นทางขึ้นเขา รถยนต์ไม่สามารถวิ่งสวนทางกันได้ และเมื่อสำนักสงฆ์ลับแลเห็นว่าประชาชนจำนวนต้องการขึ้นมาพิสูจน์คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ จึงว่าจ้างเอกชนเข้าปรับพื้นที่ถนนเพื่ออำนวยความสะดวก และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นแก่ประชาชน
อย่างไรก็ตามจะว่าไปแล้ว ในอีกมุมหนึ่งก็ได้สะท้อนปรากฏการณ์หนึ่งในสังคมไทยได้เป็นอย่างดีว่าสังคมไทยยังคงถูกสั่นคลอนได้ง่ายๆ จากข่าวลือได้ง่ายแบบเหลือเชื่อ ซึ่งต่อจากนี้สิ่งหนึ่งที่ประชาชนควรจะใช้บทเรียนคำทำนายเด็กชายปลาบู่ก็คือ การที่ต้องตระหนักถึงข้อมูลเพื่อนำไปพิจารณาไตร่ตรอง แสวงหาความเป็นจริง ไม่หลงเชื่อสิ่งใดโดยง่ายดาย โดยไม่ผ่านการคิดตรึกตรองหาข้อมูลอย่างถี่ถ้วน
ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วคำทำนายของเด็กชายปลาบู่จะเป็นคำทำนายลวงโลก แต่นั่นก็สะท้อนให้เห็นถึงอะไรบางอย่างที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไข ซึ่งเชื่อแน่ว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้คงจะไม่เป็นครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน
สุดท้ายเรื่องนี้ก็คงกล่าวได้เพียงว่า สงสารแต่พ่อปลาบู่ จริงๆ