การประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) วันที่ 4 ม.ค.นี้ กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ( กทม. ) จะเสนอ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการเจรจาทำความตกลงระหว่าง กทม.กับบริษัท บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ ฯ จำกัด ผู้ขายรถและเรือดับเพลิงรวมทั้งอุปกรณ์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งขณะนี้ เรื่องอยู่ระหว่างการดำเนินคดีในกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย โดย กทม.ได้เจรจากับฝ่ายบริษัทผู้ขาย และได้ข้อสรุปคือ 1. กทม.เสนอให้บริษัทผู้ขายยอมรับว่าข้อตกลงซื้อขายไม่มีผลผูกพันมาแต่แรก ซึ่งสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดังนั้น เงินที่บริษัทผู้ขายได้รับ ต้องคืนให้ กทม.และรัฐบาล โดยผลการเจรจา บริษัทผู้ขายยอมรับว่า ข้อตกลงซื้อขายไม่มีผลผูกพันมาแต่แรก เงินที่บริษัทผู้ขายได้รับ จะคืนให้ กทม. และรัฐบาล และบริษัทผู้ขายยอมรับว่าของที่ส่งมาทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทผู้ขาย แต่สำหรับภาระในเรื่องค่าภาษีอากรนำเข้าสินค้า บริษัทผู้ขายเห็นว่า ทั้งโดยข้อกฎหมายและข้อสัญญา ภาระดังกล่าวนี้เป็นความรับผิดชอบของ กทม.
2.กทม.เสนอให้คณะอนุญาโตตุลาการดำเนินกระบวนการพิจารณา เพื่อหาข้อยุติเรื่องราคาของยานพาหนะดับเพลิงและอุปกรณ์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ โดยรับฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอิสระเป็นผู้ประเมินราคา ให้ กทม.มีสิทธินำสืบหรือเสนอความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ และพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการด้วย บริษัทผู้ขายยอมรับข้อเสนอนี้
3. กทม.เสนอว่า กทม.จะซื้อสิ่งของตามความจำเป็นที่แท้จริง ที่ต้องใช้ในราชการโดยยึดถือตามราคาที่ได้มีการพิจารณาเป็นที่ยุติโดยคณะอนุญาโตตุลาการตามข้อ 2 และการจัดซื้อต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของราชการไทย โดยบริษัทผู้ขายยอมรับที่ กทม.จะซื้อสิ่งของตามความจำเป็นที่แท้จริงที่ต้องใช้ในราชการ แต่มีเงื่อนไขว่าบริษัทจะปรับลดราคาสินค้าให้เป็นตามราคาขั้นต่ำตามการประเมินของผู้ประเมินราคาอิสระที่จะนำเสนอต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเทียบได้เป็นประมาณร้อยละ 10 ของราคาสินค้าตามข้อตกลงซื้อขาย ซึ่งจะเท่ากับเป็นราคาที่ลดลงประมาณ 668,479,900 บาท และผู้ขายจะจ่ายเงินช่วยค่าซ่อมและปรับสภาพสินค้าให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดีเสมือนเป็นของใหม่อีกเป็นเงินจำนวนไม่เกิน 1.528 ล้านยูโร หรือ 63,049,100 บาท
4. กทม.เสนอว่าเมื่อดำเนินการตามข้อ 3. แล้ว ให้นำราคาสิ่งของไปหักจากยอดเงินตามสัดส่วนงบประมาณเดิมที่ กทม.และรัฐบาลจ่ายไป เหลือเท่าใดจะคืนให้ กทม.และรัฐบาล โดยบริษัทผู้ขายยอมรับข้อเสนอนี้ เพื่อเป็นแนวทางให้ กทม.ได้ดำเนินการต่อไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม ทั้งนี้ หาก ครม.ให้ความเห็นชอบตามนี้ กทม.จะนำไปดำเนินการต่อไป
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นว่า กรณีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างคู่ความมิใช่เป็นเรื่องในทางนโยบายในความรับผิดชอบของ ครม.จึงเห็นสมควรที่ กทม.จะได้ดำเนินการต่อไปตามกฎหมายและข้อสัญญา หากมีกรณีใดที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่นก็ควรจะได้หารือโดยตรงต่อไป ขณะที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ( สลค.) ให้ความเห็นว่า ตั้งแต่เกิดประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายระหว่างกทม.กับบริษัทผู้ขายขึ้น ทางครม.ไม่เคยมีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบให้มีการดำเนินการใด ๆ จึงเห็นว่าเรื่องนี้ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ครม.ที่จะพิจารณาให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าว และเห็นควรให้ กทม.นำเรื่องดังกล่าวไปประสานหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
อีกด้าน กระทรวงศึกษาธิการจะเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาและอนุมัติจัดสรรงบประมาณเพิ่ม เพื่อการเบิกจ่ายค่าครองชีพชั่วคราวของพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างโดยเงินงบประมาณแผ่นดิน ที่บรรจุหรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติต้องใช้ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป และมีอัตราเงินเดือนหรืออัตราค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ 15,000 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วต้องไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท ตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 55 จำนวน 15,902 คน แบ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการ 16 แห่ง จำนวน 120,550,695.03 บาท มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ 12 แห่ง จำนวน 115,170,075.00 บาท มหาวิทยาลัยราชภัฏ 40 แห่ง จำนวน 455,880,348.00 บาท และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 9 แห่ง จำนวน 310,664,664.00 บาท รวมจำนวน 1,002,265,782.03 บาท.
ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ขออนุมัติหลักการให้ สตช.ดำเนินการจัดหาอุปกรณ์พิเศษสำหรับติดตั้งประกอบอาวุธปืนจำนวน 1,500 ชุด สำหรับอาวุธปืนขนาด 5.56 มิลลิเมตร ยี่ห้อ Colt (M4 A2) จำนวน 1,500 กระบอก ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เป็นเงินทั้งสิ้น 209.10 ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2554 เป็นเงิน 20 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงรายการงบฯ ปี 2554 เงินกันไว้เหลื่อมปี กรณีไม่มีหนี้ผูกพัน มาตั้งจ่ายในงบลงทุนเพื่อดำเนินการ และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 เป็นเงิน 189.10 ล้านบาท เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานในการแก้ปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีอาวุธหลักพร้อมอุปกรณ์พิเศษที่เหมาะสมใช้กับชุดปฏิบัติการพิเศษในภารกิจสำคัญๆ เช่น การปิดล้อมตรวจค้น การช่วยเหลือตัวประกัน การปฏิบัติการทางอากาศ การดำเนินยุทธวิธีในพื้นที่ป่าเขา เป็นต้น
2.กทม.เสนอให้คณะอนุญาโตตุลาการดำเนินกระบวนการพิจารณา เพื่อหาข้อยุติเรื่องราคาของยานพาหนะดับเพลิงและอุปกรณ์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ โดยรับฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอิสระเป็นผู้ประเมินราคา ให้ กทม.มีสิทธินำสืบหรือเสนอความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ และพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการด้วย บริษัทผู้ขายยอมรับข้อเสนอนี้
3. กทม.เสนอว่า กทม.จะซื้อสิ่งของตามความจำเป็นที่แท้จริง ที่ต้องใช้ในราชการโดยยึดถือตามราคาที่ได้มีการพิจารณาเป็นที่ยุติโดยคณะอนุญาโตตุลาการตามข้อ 2 และการจัดซื้อต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของราชการไทย โดยบริษัทผู้ขายยอมรับที่ กทม.จะซื้อสิ่งของตามความจำเป็นที่แท้จริงที่ต้องใช้ในราชการ แต่มีเงื่อนไขว่าบริษัทจะปรับลดราคาสินค้าให้เป็นตามราคาขั้นต่ำตามการประเมินของผู้ประเมินราคาอิสระที่จะนำเสนอต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเทียบได้เป็นประมาณร้อยละ 10 ของราคาสินค้าตามข้อตกลงซื้อขาย ซึ่งจะเท่ากับเป็นราคาที่ลดลงประมาณ 668,479,900 บาท และผู้ขายจะจ่ายเงินช่วยค่าซ่อมและปรับสภาพสินค้าให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดีเสมือนเป็นของใหม่อีกเป็นเงินจำนวนไม่เกิน 1.528 ล้านยูโร หรือ 63,049,100 บาท
4. กทม.เสนอว่าเมื่อดำเนินการตามข้อ 3. แล้ว ให้นำราคาสิ่งของไปหักจากยอดเงินตามสัดส่วนงบประมาณเดิมที่ กทม.และรัฐบาลจ่ายไป เหลือเท่าใดจะคืนให้ กทม.และรัฐบาล โดยบริษัทผู้ขายยอมรับข้อเสนอนี้ เพื่อเป็นแนวทางให้ กทม.ได้ดำเนินการต่อไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม ทั้งนี้ หาก ครม.ให้ความเห็นชอบตามนี้ กทม.จะนำไปดำเนินการต่อไป
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นว่า กรณีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างคู่ความมิใช่เป็นเรื่องในทางนโยบายในความรับผิดชอบของ ครม.จึงเห็นสมควรที่ กทม.จะได้ดำเนินการต่อไปตามกฎหมายและข้อสัญญา หากมีกรณีใดที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่นก็ควรจะได้หารือโดยตรงต่อไป ขณะที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ( สลค.) ให้ความเห็นว่า ตั้งแต่เกิดประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายระหว่างกทม.กับบริษัทผู้ขายขึ้น ทางครม.ไม่เคยมีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบให้มีการดำเนินการใด ๆ จึงเห็นว่าเรื่องนี้ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ครม.ที่จะพิจารณาให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าว และเห็นควรให้ กทม.นำเรื่องดังกล่าวไปประสานหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
อีกด้าน กระทรวงศึกษาธิการจะเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาและอนุมัติจัดสรรงบประมาณเพิ่ม เพื่อการเบิกจ่ายค่าครองชีพชั่วคราวของพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างโดยเงินงบประมาณแผ่นดิน ที่บรรจุหรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติต้องใช้ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป และมีอัตราเงินเดือนหรืออัตราค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ 15,000 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วต้องไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท ตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 55 จำนวน 15,902 คน แบ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการ 16 แห่ง จำนวน 120,550,695.03 บาท มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ 12 แห่ง จำนวน 115,170,075.00 บาท มหาวิทยาลัยราชภัฏ 40 แห่ง จำนวน 455,880,348.00 บาท และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 9 แห่ง จำนวน 310,664,664.00 บาท รวมจำนวน 1,002,265,782.03 บาท.
ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ขออนุมัติหลักการให้ สตช.ดำเนินการจัดหาอุปกรณ์พิเศษสำหรับติดตั้งประกอบอาวุธปืนจำนวน 1,500 ชุด สำหรับอาวุธปืนขนาด 5.56 มิลลิเมตร ยี่ห้อ Colt (M4 A2) จำนวน 1,500 กระบอก ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เป็นเงินทั้งสิ้น 209.10 ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2554 เป็นเงิน 20 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงรายการงบฯ ปี 2554 เงินกันไว้เหลื่อมปี กรณีไม่มีหนี้ผูกพัน มาตั้งจ่ายในงบลงทุนเพื่อดำเนินการ และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 เป็นเงิน 189.10 ล้านบาท เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานในการแก้ปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีอาวุธหลักพร้อมอุปกรณ์พิเศษที่เหมาะสมใช้กับชุดปฏิบัติการพิเศษในภารกิจสำคัญๆ เช่น การปิดล้อมตรวจค้น การช่วยเหลือตัวประกัน การปฏิบัติการทางอากาศ การดำเนินยุทธวิธีในพื้นที่ป่าเขา เป็นต้น