มาถึงขั้นนี้ก็ได้แต่ภาวนา หวังว่านี่เป็นเพียงแค่อารมณ์ความรู้สึกฉาบฉวยแบบไร้แก่นสาร สนุกๆ ชั่วครั้งชั่วคราวของชาวบ้านก็แล้วกัน เอาจริงเอาจังอะไรมากไม่ได้ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ หรือคิดผิดมันก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันว่า ในอนาคตข้างหน้าสังคมไทยจะเดินไปทางไหน เพราะหากระดับมันสมอง และวิธีคิด วิธีการทำงานของคนพวกนี้ออกมาแล้วได้รับความชื่นชอบ มันก็ทำให้ต้องมาประเมินใหม่เหมือนกัน
ก่อนอื่นก็ต้องพูดว่า ขอให้ทำใจกันละครับพี่น้อง ในเมื่อผลสำรวจของ เอแบคโพลที่เพิ่งออกมาล่าสุดระบุว่า นักการเมืองที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด ฝ่ายรัฐบาลคือ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงร้อยละ 77.7 รองลงมาก็คือ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ร้อยละ 13.9
ขณะที่ชื่นชอบมากที่สุดในซีกฝ่ายค้านก็คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 74.9 และ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ร้อยละ 16.7
ต้องยอมรับว่าน่าแปลกใจไม่น้อย ที่ความรู้สึกของคนไทยออกมาแบบนี้ โดยเฉพาะถ้าแยกออกมาพิจารณาเฉพาะนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ที่ชื่นชอบมากที่สุด และผลออกมาเป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
แม้ว่าจำนวนร้อยละที่ออกมาจะห่างกันมากก็ตาม แต่มันก็สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติ มุมมองและความคิดของคนไทยได้เป็นอย่างดี
ผลสำรวจที่ออกมาดังกล่าว สะท้อนความรู้สึกตัวอย่างคนไทยจากทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน แม้ว่าจะไม่อาจใช้เป็นบรรทัดฐานได้มากนัก เพราะเป็นการสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราว แต่อย่างน้อยก็ต้องเห็นภาพบางอย่างแน่นอน
ไม่น่าเชื่อว่า “นายกฯนกแก้ว” หรือ “ดาวดับ” ที่นักข่าว ทั้งที่รัฐสภา และที่ทำเนียบรัฐบาล เพิ่งให้สมญานามไปหมาดๆ โดยสะท้อนวิธีการทำงาน วิธีคิด และระดับมันสมอง ที่สะท้อนออกมาในทางลบ จะสวนทางกับความรู้สึกของคนไทยได้มากมายถึงขนาดนี้
หรือว่าข้อมูลข่าวสารที่ออกไป มันล้นทะลักจนชาวบ้านจับต้นชนปลายไม่ถูก จนไม่อาจสรุปได้ว่าสิ่งไหนจริง หรือเท็จ สิ่งไหนคือละครการเมือง
หรือว่าแค่แต่งตัวสวยๆ ยิ้มกว้าง พูดจากแบบนกแก้วนกขุนทองไปวันๆ โดยไม่จำเป็นว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้น มีแก่นสาร มีข้อมูลเป็นความจริงอ้างอิงได้แค่ไหน ขนาดแค่ไปพบ อองซานซูจี ผู้นำฝ่ายค้านของพม่า ที่เป็นคนดังระดับโลก ยังต้องใช้ “สคริปต์” ก้มลงท่องจำก่อน พูดจากัน กลายเป็นเรื่อง “ตลกปนเศร้า” เพราะนี่คือผู้นำของประเทศไทยที่แบกเอาศักดิ์ศรีของชาติไว้เต็มบ่า
หลักฐานที่ปรากฏออกมาเป็น คลิปในยูทูป เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ยิ่งลักษณ์ ไม่มีภูมิความรู้ ไม่มีความพร้อมสำหรับการเป็นผู้นำ เป็นนายกรัฐมนตรีได้เลย สิ่งที่เธอต้องการในวันนั้น คงเป็นเพียงเป็นข่าวออกไปข้างนอก เหมือนกับโหนกระแสคนดัง ได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเท่านั้น
แต่สำหรับหัวอกคนไทยที่ได้เห็นภาพข่าวดังกล่าวในตอนแรกก็ยังรู้สึกอดสูใจอยู่แล้ว และเมื่อได้เห็นคลิปดังกล่าวตามมาภายหลัง มันก็ยิ่ง “ปวดร้าว” ใจเป็นสองเท่า ว่านี่หรือผู้นำของประเทศไทย ว่าทำไมถึงได้ด้อยค่าเอานัก
นี่ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องข้อสงสัยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ผลประโยชน์ส่วนตัวของพี่ชายตัวเอง ที่ใช้ตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรีไปลงนามรับรอง ทั้งในพม่า หรือกัมพูชา รวมทั้งทุกประเทศ ที่เดินทางไป
ไม่น่าเชื่อว่าทั้งที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่มาหมาดๆ หลังจากที่ นายกรัฐมนตรี คนนี้เพิ่งประกาศว่า “เอาอยู่” บนความฉิบหายวายวอดของคนไทยทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกันเอง จนบัดนี้ยังโงหัวไม่ขึ้น มีปัญหาข้าวยากหมากแพง สินค้าค่าครองชีพพุ่งกระฉูด เกิดภาวะว่างงานนับหมื่น นับแสนคน โจรขโมย มีการปล้นร้านทอง ปล้นฆ่ากันถี่ยิบ ก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้
แต่ผลสำรวจความรู้สึกชาวบ้าน ก็ยังบอกว่าชื่นชอบ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มากที่สุด
นอกจากนี้ อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจแม้ว่าคะแนนจะตามหลังทิ้งห่างกันมากก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เป็นอีกคนที่ชาวบ้านชื่นชอบ
โอแม่เจ้า นี่มันอะไรกันประเภทที่ให้สัมภาษณ์ได้ทุกวัน เป็นข่าวได้ทุกวัน พูดทุกเรื่อง รู้ทุกเรื่อง อาจยกเว้นรู้จักตัวเอง ผลยังออกมาแบบนี้ แต่ก็เป็นไปได้ว่า ที่ผ่านมาผลงานใดก็ตามหากทำงานรับใช้ ทักษิณ ชินวัตร นั้นต้องยอมรับว่าเขาตั้งใจผลักดันเต็มที่ และเป็นไปได้ว่า ในการปรับคณะรัฐมนตรีเที่ยวหน้าอาจได้ “โบนัส” ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการเกรดเอ ก็ได้
ขณะเดียวกันเมื่อมอง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แล้ว ก็ต้องมองไปถึง ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ในซีกฝ่ายค้าน เพราะลักษณะที่ออกมาไม่ได้แตกต่างกัน
เมื่อทั้งคู่เป็นนักการเมืองในดวงใจของชาวบ้าน มันก็น่าจะทำให้หลายฝ่ายต้องมานั่งตรึกตรอง หรือทบทวนกันใหม่เหมือนกันว่า เป็นเพราะเราไม่ปกติ หรือว่าสังคมไทยมันไม่ปกติไปแล้ว ทำไมคนที่ทำงานแบบฉาบฉวย มีลักษณะวาระแอบแฝง แต่เป็นข่าวได้ทุกวัน ถึงได้ใจเพียงนี้ มันกลับตาลปัตร
อย่างไรก็ดี มาถึงขั้นนี้ก็ได้แต่ภาวนาหวังว่านี่เป็นเพียงแค่อารมณ์ความรู้สึกฉาบฉวยแบบไร้แก่นสาร สนุกๆ ชั่วครั้งชั่วคราวของชาวบ้านก็แล้วกัน เอาจริงเอาจังอะไรมากไม่ได้ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งถ้าไม่ใช่ หรือคิดผิด มันก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันว่าในอนาคตข้างหน้าสังคมไทยจะเดินไปทางไหน เพราะหากระดับมันสมอง และวิธีคิด วิธีการทำงานของคนพวกนี้ออกมาแล้วได้รับความชื่นชอบ มันก็ทำให้ต้องมาประเมินใหม่เหมือนกัน
แต่สิ่งที่คิดว่าสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือต้องทำใจ อีกทั้งมีทางเดียวกันก็คือ ต้องให้ประสบชะตากรรมด้วยตัวเอง ทุกคนย่อมต้องหาบทเรียนด้วยตัวเอง
ให้ความจริงวันข้างหน้าเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า จะเจอกับนรก หรือสวรรค์ เพราะพวกเขาต้องเลือกเองอยู่แล้ว !!
ก่อนอื่นก็ต้องพูดว่า ขอให้ทำใจกันละครับพี่น้อง ในเมื่อผลสำรวจของ เอแบคโพลที่เพิ่งออกมาล่าสุดระบุว่า นักการเมืองที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด ฝ่ายรัฐบาลคือ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงร้อยละ 77.7 รองลงมาก็คือ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ร้อยละ 13.9
ขณะที่ชื่นชอบมากที่สุดในซีกฝ่ายค้านก็คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 74.9 และ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ร้อยละ 16.7
ต้องยอมรับว่าน่าแปลกใจไม่น้อย ที่ความรู้สึกของคนไทยออกมาแบบนี้ โดยเฉพาะถ้าแยกออกมาพิจารณาเฉพาะนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ที่ชื่นชอบมากที่สุด และผลออกมาเป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
แม้ว่าจำนวนร้อยละที่ออกมาจะห่างกันมากก็ตาม แต่มันก็สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติ มุมมองและความคิดของคนไทยได้เป็นอย่างดี
ผลสำรวจที่ออกมาดังกล่าว สะท้อนความรู้สึกตัวอย่างคนไทยจากทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน แม้ว่าจะไม่อาจใช้เป็นบรรทัดฐานได้มากนัก เพราะเป็นการสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราว แต่อย่างน้อยก็ต้องเห็นภาพบางอย่างแน่นอน
ไม่น่าเชื่อว่า “นายกฯนกแก้ว” หรือ “ดาวดับ” ที่นักข่าว ทั้งที่รัฐสภา และที่ทำเนียบรัฐบาล เพิ่งให้สมญานามไปหมาดๆ โดยสะท้อนวิธีการทำงาน วิธีคิด และระดับมันสมอง ที่สะท้อนออกมาในทางลบ จะสวนทางกับความรู้สึกของคนไทยได้มากมายถึงขนาดนี้
หรือว่าข้อมูลข่าวสารที่ออกไป มันล้นทะลักจนชาวบ้านจับต้นชนปลายไม่ถูก จนไม่อาจสรุปได้ว่าสิ่งไหนจริง หรือเท็จ สิ่งไหนคือละครการเมือง
หรือว่าแค่แต่งตัวสวยๆ ยิ้มกว้าง พูดจากแบบนกแก้วนกขุนทองไปวันๆ โดยไม่จำเป็นว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้น มีแก่นสาร มีข้อมูลเป็นความจริงอ้างอิงได้แค่ไหน ขนาดแค่ไปพบ อองซานซูจี ผู้นำฝ่ายค้านของพม่า ที่เป็นคนดังระดับโลก ยังต้องใช้ “สคริปต์” ก้มลงท่องจำก่อน พูดจากัน กลายเป็นเรื่อง “ตลกปนเศร้า” เพราะนี่คือผู้นำของประเทศไทยที่แบกเอาศักดิ์ศรีของชาติไว้เต็มบ่า
หลักฐานที่ปรากฏออกมาเป็น คลิปในยูทูป เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ยิ่งลักษณ์ ไม่มีภูมิความรู้ ไม่มีความพร้อมสำหรับการเป็นผู้นำ เป็นนายกรัฐมนตรีได้เลย สิ่งที่เธอต้องการในวันนั้น คงเป็นเพียงเป็นข่าวออกไปข้างนอก เหมือนกับโหนกระแสคนดัง ได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเท่านั้น
แต่สำหรับหัวอกคนไทยที่ได้เห็นภาพข่าวดังกล่าวในตอนแรกก็ยังรู้สึกอดสูใจอยู่แล้ว และเมื่อได้เห็นคลิปดังกล่าวตามมาภายหลัง มันก็ยิ่ง “ปวดร้าว” ใจเป็นสองเท่า ว่านี่หรือผู้นำของประเทศไทย ว่าทำไมถึงได้ด้อยค่าเอานัก
นี่ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องข้อสงสัยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ผลประโยชน์ส่วนตัวของพี่ชายตัวเอง ที่ใช้ตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรีไปลงนามรับรอง ทั้งในพม่า หรือกัมพูชา รวมทั้งทุกประเทศ ที่เดินทางไป
ไม่น่าเชื่อว่าทั้งที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่มาหมาดๆ หลังจากที่ นายกรัฐมนตรี คนนี้เพิ่งประกาศว่า “เอาอยู่” บนความฉิบหายวายวอดของคนไทยทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกันเอง จนบัดนี้ยังโงหัวไม่ขึ้น มีปัญหาข้าวยากหมากแพง สินค้าค่าครองชีพพุ่งกระฉูด เกิดภาวะว่างงานนับหมื่น นับแสนคน โจรขโมย มีการปล้นร้านทอง ปล้นฆ่ากันถี่ยิบ ก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้
แต่ผลสำรวจความรู้สึกชาวบ้าน ก็ยังบอกว่าชื่นชอบ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มากที่สุด
นอกจากนี้ อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจแม้ว่าคะแนนจะตามหลังทิ้งห่างกันมากก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เป็นอีกคนที่ชาวบ้านชื่นชอบ
โอแม่เจ้า นี่มันอะไรกันประเภทที่ให้สัมภาษณ์ได้ทุกวัน เป็นข่าวได้ทุกวัน พูดทุกเรื่อง รู้ทุกเรื่อง อาจยกเว้นรู้จักตัวเอง ผลยังออกมาแบบนี้ แต่ก็เป็นไปได้ว่า ที่ผ่านมาผลงานใดก็ตามหากทำงานรับใช้ ทักษิณ ชินวัตร นั้นต้องยอมรับว่าเขาตั้งใจผลักดันเต็มที่ และเป็นไปได้ว่า ในการปรับคณะรัฐมนตรีเที่ยวหน้าอาจได้ “โบนัส” ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการเกรดเอ ก็ได้
ขณะเดียวกันเมื่อมอง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แล้ว ก็ต้องมองไปถึง ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ในซีกฝ่ายค้าน เพราะลักษณะที่ออกมาไม่ได้แตกต่างกัน
เมื่อทั้งคู่เป็นนักการเมืองในดวงใจของชาวบ้าน มันก็น่าจะทำให้หลายฝ่ายต้องมานั่งตรึกตรอง หรือทบทวนกันใหม่เหมือนกันว่า เป็นเพราะเราไม่ปกติ หรือว่าสังคมไทยมันไม่ปกติไปแล้ว ทำไมคนที่ทำงานแบบฉาบฉวย มีลักษณะวาระแอบแฝง แต่เป็นข่าวได้ทุกวัน ถึงได้ใจเพียงนี้ มันกลับตาลปัตร
อย่างไรก็ดี มาถึงขั้นนี้ก็ได้แต่ภาวนาหวังว่านี่เป็นเพียงแค่อารมณ์ความรู้สึกฉาบฉวยแบบไร้แก่นสาร สนุกๆ ชั่วครั้งชั่วคราวของชาวบ้านก็แล้วกัน เอาจริงเอาจังอะไรมากไม่ได้ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งถ้าไม่ใช่ หรือคิดผิด มันก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันว่าในอนาคตข้างหน้าสังคมไทยจะเดินไปทางไหน เพราะหากระดับมันสมอง และวิธีคิด วิธีการทำงานของคนพวกนี้ออกมาแล้วได้รับความชื่นชอบ มันก็ทำให้ต้องมาประเมินใหม่เหมือนกัน
แต่สิ่งที่คิดว่าสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือต้องทำใจ อีกทั้งมีทางเดียวกันก็คือ ต้องให้ประสบชะตากรรมด้วยตัวเอง ทุกคนย่อมต้องหาบทเรียนด้วยตัวเอง
ให้ความจริงวันข้างหน้าเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า จะเจอกับนรก หรือสวรรค์ เพราะพวกเขาต้องเลือกเองอยู่แล้ว !!