ASTVผู้จัดการรายวัน-"หมอวรงค์" ชี้ โครงการจำนำข้าวดเละ ชาวนาถูกกดราคา ผลประโยชน์ ตกอยู่ในมือพ่อค้าคนกลาง แฉทุจริตทุกขั้นตอน ดักคอ"เหลิม" ส่งเด็กคุมอคส. ขอให้รักษาผลประโยชน์ชาติ อย่าใช้เป็นแหล่งเก็บส่วย
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ในฐานะรมช.พาณิชย์เงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามตรวจสอบนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลว่า พบปัญหาว่ามีการทุจริตในเกือบทุกระดับของการดำเนินงานในโครงการนี้ ตั้งแต่เปิดโครงการ 7 ต.ค.เป็นต้นมา ทางพรรคได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลพบว่า โครงการนี้ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าว ซึ่งในวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา ทางกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงว่า ปีนี้ไทยจะสามารถส่งข้าวได้ 10.5 ล้านตัน ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการส่งออกข้าว แต่กลับเป็นตัวเลขหลอกลวง เพราะในข้อเท็จจริง ยอดการส่งออกข้าวลดลงมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เฉพาะเดือน ธ.ค. ล่าสุดนับถึงวันที่ 13 ธ.ค. ตัวเลขการส่งออกข้าว อยู่ที่ 1.8 แสนตัน ติดลบถึง 55 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้นตัวเลขที่กระทรวงพาณิชย์อ้าง จึงเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ ทำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ภายหลังจากที่รัฐบาลปรับมาเป็นโครงการจำนำข้าว ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อยอดการส่งออก ซึ่งในปีหน้าจะมีปัญหาอย่างรุนแรงตามมา เนื่องจากจะมีข้าวนาปรังออกมาจำนวนมาก แต่ในขณะนี้ที่ยังไม่เห็นปัญหา เพราะผลผลิตข้าวถูกน้ำท่วม
นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบโดยมีโรงสีต่างๆ ร้องเรียนว่า มีการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะจากการรับจำนำข้าวข้ามเขต เช่น ในพื้นที่ภาคกลาง ข้ามเขตไปที่ภาคอีสาน ต้องเสียเงินให้ตันละ 150 บาท โรงสีที่จะเข้าร่วมโครงการ ต้องจ่ายขั้นต่ำ 1 ล้านบาท จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณข้าว ที่จะรับจำนำ โดยนำจำนวนข้าวต่อตัน คูณ 150 บาท
อีกทั้งยังมีปัญหา กรณีเซอร์เวเยอร์ หรือผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว ก็มีการเรียกเก็บเงินจากข้าวที่อยู่ในโกดัง กระสอบละ 7 บาท เป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับโรงสี แต่บางรายเรียกเก็บสูงถึง 40 บาท ต่อกระสอบ โดยสมรู้ร่วมคิดกับโรงสี นำข้าวที่ไม่ได้มาตราฐานมาเก็บในโกดังกลาง จากนั้นมีการเรียกเก็บผลประโยชน์ หากกระบวนการของรัฐยังไม่โปร่งใสเช่นนี้ พี่น้องชาวนาจะเป็นผู้เสียผลประโยชน์
นพ.วรงค์ กล่าวว่า ขณะนี้ชาวนาไม่ได้รับผลประโยบชน์จากโครงการนี้ตามที่รัฐบาลกำหนด เพราะถูกกดราคา บางรายได้เงินเพียง 9 พันบาท ต่อตัน และยังถูกโกงหักความชื้นของข้าวเพิ่ม ทำให้รายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยสิ่งเหล่านี้ตนมีหลักฐานและยังพบว่า โรงสีโกงชาวนา ด้วยการออกออกใบประทวนที่ไม่ตรงกับปริมาณข้าวที่ชาวนาไปจำนำกับโรงสี โดยใส่จำนวนข้าวมากกว่าที่เอามาจำนำ เพื่อไปเอาข้าวจากที่อื่นมาสวมสิทธิ์ และบางกรณีชาวนาก็รู้เห็นเป็นใจกับโรงสี เพื่อให้เกิดการสวมสิทธิ์ ข้าวที่เตรียมไว้แล้ว และยังมีบางแห่ง ที่โรงสีสวมสิทธิ์ โดยที่ชาวนาไม่รู้เรื่อง บางกรนณีมีการโอนเงินให้ชาวนามากกว่าที่ควรจะได้ ซึ่งชาวนาก็มาร้องเรียนทางพรรค ก็เก็บหลักฐานไว้ทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลนี้ต้องเข้ามาดูแล เนื่องจากผลประโยชน์ไม่ตกถึงชาวนา แต่ตกในมือพ่อค้าคนกลาง และตนเชื่อว่า ที่สุดจะถูกผ่องถ่ายไปสู่มือนักการเมือง
"เราได้รับโทรศัพท์ร้องเรียนจากโรงสีจำนวนมาก ในเรื่องการแต่งตั้ง อดีตจำเลยในคดีฆ่าดาบตำรวจยิ้ม มาเป็น ผอ.อคส. เพราะในโควการจำนำข้าว คนที่จะมาดูแล ควรที่จะต้องมีความรู้ เข้าใจเรื่องข้าว เพื่อจะได้พิทักษ์ผลประโยขชน์ให้ชาวนาและประเทศ แต่การเอาคนที่มีมลทิน ไม่มีความรู้ ทำให้เกิดคำถามว่า การแต่งตั้งผอ.อสค. คราวนี้ เพื่อดูแลผลประโยชน์ของชาวนา หรือมาเป็นโต้โผในการเก็บส่วย เพื่อส่งไปให้คนที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เพราะอคส. เป็นหน่วยงานหลักในการรับจำนำข้าว ทุกอย่างต้องผ่าน อคส. ดังนั้น การเรียกเก็บผลประโยขน์ต่างๆ ทำได้ง่ายมาก และมีจำนวนมหาศาล ซึ่งสุดท้ายผู้ประกอบการ ก็เชื่อว่า การเก็บส่วย จะมีการส่งต่อไปยังผู้มีอำนาจ" นพ.วรงวค์ กล่าว
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ในฐานะรมช.พาณิชย์เงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามตรวจสอบนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลว่า พบปัญหาว่ามีการทุจริตในเกือบทุกระดับของการดำเนินงานในโครงการนี้ ตั้งแต่เปิดโครงการ 7 ต.ค.เป็นต้นมา ทางพรรคได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลพบว่า โครงการนี้ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าว ซึ่งในวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา ทางกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงว่า ปีนี้ไทยจะสามารถส่งข้าวได้ 10.5 ล้านตัน ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการส่งออกข้าว แต่กลับเป็นตัวเลขหลอกลวง เพราะในข้อเท็จจริง ยอดการส่งออกข้าวลดลงมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เฉพาะเดือน ธ.ค. ล่าสุดนับถึงวันที่ 13 ธ.ค. ตัวเลขการส่งออกข้าว อยู่ที่ 1.8 แสนตัน ติดลบถึง 55 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้นตัวเลขที่กระทรวงพาณิชย์อ้าง จึงเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ ทำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ภายหลังจากที่รัฐบาลปรับมาเป็นโครงการจำนำข้าว ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อยอดการส่งออก ซึ่งในปีหน้าจะมีปัญหาอย่างรุนแรงตามมา เนื่องจากจะมีข้าวนาปรังออกมาจำนวนมาก แต่ในขณะนี้ที่ยังไม่เห็นปัญหา เพราะผลผลิตข้าวถูกน้ำท่วม
นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบโดยมีโรงสีต่างๆ ร้องเรียนว่า มีการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะจากการรับจำนำข้าวข้ามเขต เช่น ในพื้นที่ภาคกลาง ข้ามเขตไปที่ภาคอีสาน ต้องเสียเงินให้ตันละ 150 บาท โรงสีที่จะเข้าร่วมโครงการ ต้องจ่ายขั้นต่ำ 1 ล้านบาท จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณข้าว ที่จะรับจำนำ โดยนำจำนวนข้าวต่อตัน คูณ 150 บาท
อีกทั้งยังมีปัญหา กรณีเซอร์เวเยอร์ หรือผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว ก็มีการเรียกเก็บเงินจากข้าวที่อยู่ในโกดัง กระสอบละ 7 บาท เป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับโรงสี แต่บางรายเรียกเก็บสูงถึง 40 บาท ต่อกระสอบ โดยสมรู้ร่วมคิดกับโรงสี นำข้าวที่ไม่ได้มาตราฐานมาเก็บในโกดังกลาง จากนั้นมีการเรียกเก็บผลประโยชน์ หากกระบวนการของรัฐยังไม่โปร่งใสเช่นนี้ พี่น้องชาวนาจะเป็นผู้เสียผลประโยชน์
นพ.วรงค์ กล่าวว่า ขณะนี้ชาวนาไม่ได้รับผลประโยบชน์จากโครงการนี้ตามที่รัฐบาลกำหนด เพราะถูกกดราคา บางรายได้เงินเพียง 9 พันบาท ต่อตัน และยังถูกโกงหักความชื้นของข้าวเพิ่ม ทำให้รายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยสิ่งเหล่านี้ตนมีหลักฐานและยังพบว่า โรงสีโกงชาวนา ด้วยการออกออกใบประทวนที่ไม่ตรงกับปริมาณข้าวที่ชาวนาไปจำนำกับโรงสี โดยใส่จำนวนข้าวมากกว่าที่เอามาจำนำ เพื่อไปเอาข้าวจากที่อื่นมาสวมสิทธิ์ และบางกรณีชาวนาก็รู้เห็นเป็นใจกับโรงสี เพื่อให้เกิดการสวมสิทธิ์ ข้าวที่เตรียมไว้แล้ว และยังมีบางแห่ง ที่โรงสีสวมสิทธิ์ โดยที่ชาวนาไม่รู้เรื่อง บางกรนณีมีการโอนเงินให้ชาวนามากกว่าที่ควรจะได้ ซึ่งชาวนาก็มาร้องเรียนทางพรรค ก็เก็บหลักฐานไว้ทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลนี้ต้องเข้ามาดูแล เนื่องจากผลประโยชน์ไม่ตกถึงชาวนา แต่ตกในมือพ่อค้าคนกลาง และตนเชื่อว่า ที่สุดจะถูกผ่องถ่ายไปสู่มือนักการเมือง
"เราได้รับโทรศัพท์ร้องเรียนจากโรงสีจำนวนมาก ในเรื่องการแต่งตั้ง อดีตจำเลยในคดีฆ่าดาบตำรวจยิ้ม มาเป็น ผอ.อคส. เพราะในโควการจำนำข้าว คนที่จะมาดูแล ควรที่จะต้องมีความรู้ เข้าใจเรื่องข้าว เพื่อจะได้พิทักษ์ผลประโยขชน์ให้ชาวนาและประเทศ แต่การเอาคนที่มีมลทิน ไม่มีความรู้ ทำให้เกิดคำถามว่า การแต่งตั้งผอ.อสค. คราวนี้ เพื่อดูแลผลประโยชน์ของชาวนา หรือมาเป็นโต้โผในการเก็บส่วย เพื่อส่งไปให้คนที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เพราะอคส. เป็นหน่วยงานหลักในการรับจำนำข้าว ทุกอย่างต้องผ่าน อคส. ดังนั้น การเรียกเก็บผลประโยขน์ต่างๆ ทำได้ง่ายมาก และมีจำนวนมหาศาล ซึ่งสุดท้ายผู้ประกอบการ ก็เชื่อว่า การเก็บส่วย จะมีการส่งต่อไปยังผู้มีอำนาจ" นพ.วรงวค์ กล่าว
