ASTV ผู้จัดการรายวัน – ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์เดือนพฤศจิกายน ดัชนียังปรับตัวเพิ่มแม้เจอปัจจัยทั้งเศรษฐกิจยุโรป และภัยน้ำท่วม วอลุ่มซื้อขายเฉลี่ย3หม่นล้านบาท/วัน มาร์เกตแคป 8.15 ล้านบาท ด้านตลท.มั่นใจปีหน้า "ต่างชาติ" กลับเข้ามาลงทุนเพราะหุ้นไทยยังราคาต่ำและผลตอบแทนปันผลสูง
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สรุปภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์เดือนพฤศจิกายน 2554 ว่า แม้ตลาดทุนไทยได้รับแรงกดดันจากทั้งเศรษฐกิจยุโรปซึ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น และภาวะอุทกภัยที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง แต่ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2554 SET Index ยังสามารถปิดที่ 995.33 จุด เพิ่มขึ้น 2.11% จากสิ้นเดือนตุลาคม 2554 โดยเป็นตลาดเดียวในภูมิภาคที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้า ขณะที่ market capitalization ของ SET อยู่ที่ 8,159,907 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.17% และ mai อยู่ที่ 73,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.92%
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของ SET และ mai ในเดือนพฤศจิกายน 2554 อยู่ที่ 22,513 ล้านบาท ลดลง 13.56% จากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2554 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวม SET และ mai อยู่ที่ 30,151 ล้านบาท สูงกว่าทั้งปี 2553 ซึ่งอยู่ที่ 29,066 ล้านบาท
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2554 Forward P/E ratio ของ SET อยู่ที่ 11.73 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 11.21 เท่า ณ สิ้นเดือนก่อนหน้า ขณะที่ mai อยู่ที่ 9.31 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 8.63 เท่า ณ สิ้นเดือนก่อนหน้า ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET อยู่ที่ 3.68% และ mai อยู่ที่ 2.76%
ขณะเดียวกันในเดือนพ.ย. ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย 12,556 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีสิ้นสุดพฤศจิกายน 2554 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 17,342 ล้านบาท นอกจากนี้พบว่า บริษัทจดทะเบียนระดมทุนในรูปตราสารทุนมูลค่า 2,446.50 ล้านบาท โดยเป็นการระดมทุนในตลาดแรก 2,260.00 ล้านบาท และมีระดมทุนตลาดรอง 186 ล้านบาท
นางเทียนทิพ สุพานิช ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาตลาดทุน ตลท.กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 2555 โดยมองว่า ตลาดหุ้นไทยยังน่าจะได้รับความนิยมต่อเนื่อง เพราะว่า forword P/E Ratio ยังต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป ประกอบกับ ตลาดหุ้นยุโรปยังไม่ฟื้น จึงคาดว่าเงินทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow)จะกลับเข้ามาในไทย เพราะมีแรงจูงใจราคาหุ้นที่ยังต่ำ
โดยในช่วงเดือนธันวาคมนี้ พบว่า นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิ 9.3 พันล้านบาท แสดงให้เห็นสัญญาณการกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ และเชื่อว่าจากนี้ไปน่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดหุ้นไทยขึ้นกับเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะปัจจัยปัญหาหนี้ของประเทศแถบยูโรโซน เพราะสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนยุโรปคิดเป็น 40% ของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย รองลงมาเป็นสิงคโปร์ และสหรัฐฯ เป็นอันดับที่สาม ส่วนที่เหลือเป็นนักลงทุนเอเชีย
"การที่นักลงทุนยุโรปมีสัดส่วนสูง และหากปัญหาหนี้ในยุโรปยังไม่คลี่คลายในเร็วๆ นี้ ก็คงจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดหุ้น แต่ในแง่พื้นฐานราคาหุ้นไทยยังมีราคาถูก ขณะเดียวกันปัจจัยในประเทศก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจในปีหน้า การที่รัฐบาลจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้อย่างไร และความต่อเนื่องของนโยบาย บวกกับแผนการลงทุนระยะยาวของไทย ส่วนด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4 มองว่าน่าจะถูกกระทบจากภาวะน้ำท่วม”
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สรุปภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์เดือนพฤศจิกายน 2554 ว่า แม้ตลาดทุนไทยได้รับแรงกดดันจากทั้งเศรษฐกิจยุโรปซึ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น และภาวะอุทกภัยที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง แต่ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2554 SET Index ยังสามารถปิดที่ 995.33 จุด เพิ่มขึ้น 2.11% จากสิ้นเดือนตุลาคม 2554 โดยเป็นตลาดเดียวในภูมิภาคที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้า ขณะที่ market capitalization ของ SET อยู่ที่ 8,159,907 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.17% และ mai อยู่ที่ 73,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.92%
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของ SET และ mai ในเดือนพฤศจิกายน 2554 อยู่ที่ 22,513 ล้านบาท ลดลง 13.56% จากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2554 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวม SET และ mai อยู่ที่ 30,151 ล้านบาท สูงกว่าทั้งปี 2553 ซึ่งอยู่ที่ 29,066 ล้านบาท
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2554 Forward P/E ratio ของ SET อยู่ที่ 11.73 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 11.21 เท่า ณ สิ้นเดือนก่อนหน้า ขณะที่ mai อยู่ที่ 9.31 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 8.63 เท่า ณ สิ้นเดือนก่อนหน้า ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET อยู่ที่ 3.68% และ mai อยู่ที่ 2.76%
ขณะเดียวกันในเดือนพ.ย. ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย 12,556 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีสิ้นสุดพฤศจิกายน 2554 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 17,342 ล้านบาท นอกจากนี้พบว่า บริษัทจดทะเบียนระดมทุนในรูปตราสารทุนมูลค่า 2,446.50 ล้านบาท โดยเป็นการระดมทุนในตลาดแรก 2,260.00 ล้านบาท และมีระดมทุนตลาดรอง 186 ล้านบาท
นางเทียนทิพ สุพานิช ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาตลาดทุน ตลท.กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 2555 โดยมองว่า ตลาดหุ้นไทยยังน่าจะได้รับความนิยมต่อเนื่อง เพราะว่า forword P/E Ratio ยังต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป ประกอบกับ ตลาดหุ้นยุโรปยังไม่ฟื้น จึงคาดว่าเงินทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow)จะกลับเข้ามาในไทย เพราะมีแรงจูงใจราคาหุ้นที่ยังต่ำ
โดยในช่วงเดือนธันวาคมนี้ พบว่า นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิ 9.3 พันล้านบาท แสดงให้เห็นสัญญาณการกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ และเชื่อว่าจากนี้ไปน่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดหุ้นไทยขึ้นกับเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะปัจจัยปัญหาหนี้ของประเทศแถบยูโรโซน เพราะสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนยุโรปคิดเป็น 40% ของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย รองลงมาเป็นสิงคโปร์ และสหรัฐฯ เป็นอันดับที่สาม ส่วนที่เหลือเป็นนักลงทุนเอเชีย
"การที่นักลงทุนยุโรปมีสัดส่วนสูง และหากปัญหาหนี้ในยุโรปยังไม่คลี่คลายในเร็วๆ นี้ ก็คงจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดหุ้น แต่ในแง่พื้นฐานราคาหุ้นไทยยังมีราคาถูก ขณะเดียวกันปัจจัยในประเทศก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจในปีหน้า การที่รัฐบาลจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้อย่างไร และความต่อเนื่องของนโยบาย บวกกับแผนการลงทุนระยะยาวของไทย ส่วนด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4 มองว่าน่าจะถูกกระทบจากภาวะน้ำท่วม”