ASTV ผู้จัดการรายวัน - ตลาดหลักทรัพย์ เผย บริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ใน SET และ mai ปีนี้ให้ผลตอบแทนจากการถือหุ้น IPO จนถึงปัจจุบัน (Offer to Date Return) คิดเป็นค่าเฉลี่ย 41.54% สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือนับเป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ในปีนี้ 10 บริษัท แบ่งเป็นใน SET 3 บริษัท และใน mai 7 บริษัท มีผลตอบแทนนับแต่ IPO จนถึงปัจจุบัน (ณ 21 ธ.ค.2554) เฉลี่ย 41.54% นับเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคภาคเอเชีย-แปซิฟิก
“ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลตอบแทนนับแต่ IPO ของหลักทรัพย์ใหม่เหล่านี้มีความโดดเด่น คือ การที่บริษัทเหล่านี้อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตและบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมี 6 บริษัท ที่มีกำไรสุทธิเติบโตเกิน 100% จากผลประกอบการงวด 9 เดือน และ 4 บริษัทที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและสภาพคล่องของบริษัท
นอกจากนั้น การที่ SET Index และ mai Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4 นับเป็นปัจจัยเอื้อต่อภาวะการซื้อขายหุ้นเข้าใหม่ และยังสะท้อนให้เห็นความมั่นใจของผู้ลงทุนที่มีต่อบริษัทจดทะเบียนไทยแม้จะเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วม” นายชนิตร กล่าว
ขณะเดียวกัน พบว่า ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีผู้ลงทุนที่หลากหลาย ทั้งผู้ลงทุนบุคคลทั่วไปและสถาบันที่ต่างสนใจลงทุนหุ้น IPO เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี (2551-2553) หุ้น IPO ให้ผลตอบแทนนับแต่ IPO ถึงปัจจุบันใกล้เคียง หรือดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ โดยมีค่าเฉลี่ยในแต่ละปีที่ 40.78% 116.91% และ 85.36% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ให้ผลตอบแทนในแต่ละปีที 21.64% 131.97% และ 42.10% ตามลำดับ
อีกทั้งการที่บริษัทเข้าใหม่สามารถระดมทุนโดยมีต้นทุนที่ถูกกว่าบริษัทที่จดทะเบียนอยู่แล้ว สังเกตได้จากค่าเฉลี่ยราคาหุ้น IPO ต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ของหุ้นเข้าใหม่ที่ 12.60 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย P/E ของ SET และ mai อยู่ที่ประมาณ 13.37 เท่าและ 18.46 เท่า ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การระดมทุนโดยนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีความน่าสนใจ
ทั้งนี้ ณ วันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าใหม่ในปี 2554 ทั้ง 10 แห่งอยู่ที่ประมาณ 26,000 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 29,298 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.72% ณ วันที่ 21 ธ.ค. 2554 โดยหุ้นเข้าใหม่ใน SET ที่ให้กำไรจากการถือหุ้นจนถึงปัจจุบันสูงสุด คือ บมจ.น้ำตาลครบุรี (KBS) ที่ 20.88% และใน mai ได้แก่ บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้ (UIC) ที่ 118.75% ตามลำดับ
สำหรับตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อมาทำการเปรียบเทียบผลตอบแทนดังกล่าว รวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีจำนวน 12 แห่ง และตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก 44 แห่ง โดยใช้ข้อมูลราคา IPO ของหลักทรัพย์เข้าใหม่ทุกตัวของแต่ละตลาด เปรียบเทียบกับราคาปิดของหลักทรัพย์นั้นๆ ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2554
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ในปีนี้ 10 บริษัท แบ่งเป็นใน SET 3 บริษัท และใน mai 7 บริษัท มีผลตอบแทนนับแต่ IPO จนถึงปัจจุบัน (ณ 21 ธ.ค.2554) เฉลี่ย 41.54% นับเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคภาคเอเชีย-แปซิฟิก
“ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลตอบแทนนับแต่ IPO ของหลักทรัพย์ใหม่เหล่านี้มีความโดดเด่น คือ การที่บริษัทเหล่านี้อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตและบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมี 6 บริษัท ที่มีกำไรสุทธิเติบโตเกิน 100% จากผลประกอบการงวด 9 เดือน และ 4 บริษัทที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและสภาพคล่องของบริษัท
นอกจากนั้น การที่ SET Index และ mai Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4 นับเป็นปัจจัยเอื้อต่อภาวะการซื้อขายหุ้นเข้าใหม่ และยังสะท้อนให้เห็นความมั่นใจของผู้ลงทุนที่มีต่อบริษัทจดทะเบียนไทยแม้จะเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วม” นายชนิตร กล่าว
ขณะเดียวกัน พบว่า ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีผู้ลงทุนที่หลากหลาย ทั้งผู้ลงทุนบุคคลทั่วไปและสถาบันที่ต่างสนใจลงทุนหุ้น IPO เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี (2551-2553) หุ้น IPO ให้ผลตอบแทนนับแต่ IPO ถึงปัจจุบันใกล้เคียง หรือดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ โดยมีค่าเฉลี่ยในแต่ละปีที่ 40.78% 116.91% และ 85.36% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ให้ผลตอบแทนในแต่ละปีที 21.64% 131.97% และ 42.10% ตามลำดับ
อีกทั้งการที่บริษัทเข้าใหม่สามารถระดมทุนโดยมีต้นทุนที่ถูกกว่าบริษัทที่จดทะเบียนอยู่แล้ว สังเกตได้จากค่าเฉลี่ยราคาหุ้น IPO ต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ของหุ้นเข้าใหม่ที่ 12.60 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย P/E ของ SET และ mai อยู่ที่ประมาณ 13.37 เท่าและ 18.46 เท่า ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การระดมทุนโดยนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีความน่าสนใจ
ทั้งนี้ ณ วันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าใหม่ในปี 2554 ทั้ง 10 แห่งอยู่ที่ประมาณ 26,000 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 29,298 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.72% ณ วันที่ 21 ธ.ค. 2554 โดยหุ้นเข้าใหม่ใน SET ที่ให้กำไรจากการถือหุ้นจนถึงปัจจุบันสูงสุด คือ บมจ.น้ำตาลครบุรี (KBS) ที่ 20.88% และใน mai ได้แก่ บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้ (UIC) ที่ 118.75% ตามลำดับ
สำหรับตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อมาทำการเปรียบเทียบผลตอบแทนดังกล่าว รวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีจำนวน 12 แห่ง และตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก 44 แห่ง โดยใช้ข้อมูลราคา IPO ของหลักทรัพย์เข้าใหม่ทุกตัวของแต่ละตลาด เปรียบเทียบกับราคาปิดของหลักทรัพย์นั้นๆ ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2554