ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขอเสนอคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งเรียกว่า Queen’s Speech ตามที่รัฐบาลถวายคำต่อคำ
โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง พระราชดำรัสจะเริ่มต้นด้วยการบอกว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายอะไรบ้าง เพราะอะไร (เพราะได้สัญญากับประชาชนไว้)
นี่คือคำแปลบางตอนของ พระราชดำรัสสมเด็จพระบรมราชินีนาถต่อหน้ารัฐสภาอังกฤษ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 โปรดอ่านตัวจริงจาก http://www.spectator.co.uk/coffeehouse/6023763/the-queens-speech-full-text.thtml
ท่านลอร์ดและสมาชิกสภาสามัญของข้าพเจ้า
โปรแกรมการออกกฎหมายของรัฐบาลของข้าพเจ้าจะตั้งอยู่บนรากฐานเสรีภาพ ความยุติธรรม และความรับผิดชอบ
สำคัญอันดับหนึ่งคือลดการขาดดุลและฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ลงมือเร่งลดการขาดดุลเพราะโครงสร้าง จะได้จัดตั้งองค์กรใหม่คือสำนักงานเพื่อความรับผิดชอบงบประมาณ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับการบริหารการคลังสาธารณะ
ระบบภาษีและผลประโยชน์จากภาษีจะทำให้ง่ายลงและยุติธรรมมากขึ้นการประกันสังคมของชาติจะถูกเปลี่ยนให้สามารถรักษาภาวะการมีงานทำและสนับสนุนเศรษฐกิจ จะช่วยเหลือประชาชนให้มีงานทำ และตัดสิทธิผู้ปฏิเสธไม่ยอมทำงานที่มีให้ ตามกำหนดเวลาของการรับบำนาญจากรัฐซึ่งจะมีการแก้ไขปรับปรุง
จะออกกฎหมายเพื่อปฏิรูปกฎเกณฑ์ของสถาบันการเงินจากบทเรียนวิกฤตเศรษฐกิจในอดีต และทำให้เกิดความโปร่งใสในการจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้ถือกรมธรรม์ Equitable Life Policy
จะออกกฎหมายปรับปรุงการใช้พลังงานอย่างประหยัดทั้งในครัวเรือนและธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการลดคาร์บอน และรับประกันการมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ
จะเสนอกฎหมายใหม่เพื่อส่งเสริมให้โรงเรียนยกมาตรฐานทางวิชาการขึ้นสำเร็จ ให้ครูมีเสรีภาพในการเลือกหลักสูตรที่จะสอน และให้องค์กรภายนอกสามารถเข้ามาบริหารโรงเรียนของรัฐได้
จะเสนอกฎหมายให้ตำรวจอยู่ภายใต้การดูแลของท้องถิ่นมากขึ้น และให้ป้องกันปราบปรามการกระทำผิดที่รุนแรงเกี่ยวกับสุราและพฤติกรรมต่อต้านสังคม ท่านผู้อ่านที่เคารพ ที่ยกมาเสียยืดยาวบนนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าสังคมไทย นักวิชาการไทย และนักการเมืองไทยโกหกตัวเองและหลอกลวงประชาชนมานานแล้วว่าการเมืองไทยคล้ายกับอังกฤษ เรามีกษัตริย์และรัฐสภาเหมือนกันจริง แต่เรื่องอื่นๆโกหกทั้งเพ เราไม่เหมือนเขาทั้งเปลือก ทั้งเนื้อ ทั้งเมล็ด คือของเขาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ของเราไม่มี เราเป็นเผด็จการคณาธิปไตยที่แอบอ้างพระมหากษัตริย์
ผมอยากให้ท่านผู้อ่านตระหนักว่าไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนหรือสถาบันกษัตริย์ที่ไหนที่ไม่มีข้อบกพร่อง แต่ต่างกันที่ระบบของเขา มีพฤติกรรม พิธีกรรมในการใช้อำนาจอธิปไตยอย่างโปร่งใส ไม่ปิดบัง มีขั้นตอน กำหนดเวลาที่ประชาชนติดตาม เข้าใจ ทำนายทายทักล่วงหน้าและท้วงติงได้
พระราชดำรัสที่รัฐบาลเขียนถวายให้ทรงอ่าน ไม่มีสิทธิตัดตอนต่อเติมหรือแสดงด้วยวิธีใดๆ ว่าทรงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย รัฐบาลใดเมื่อเข้ามาก็เป็นรัฐบาลของข้าพเจ้าทั้งสิ้น และข้าพเจ้าก็ทำงานร่วมและช่วยเหลือรัฐบาลตามครรลองและภารกิจที่ประชาธิปไตยมอบหมายให้ทั้งสิ้น
นโยบายของรัฐบาลต้องอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือ พรรคการเมืองได้หาเสียงและสัญญากับประชาชนไว้ในการประชุมพรรคระดับเขตเลือกตั้ง การประชุมประจำปี การประชุมใหญ่ และในเอกสารหาเสียงเวลาเลือกตั้งที่เรียกว่า Party Manifesto ตามลำดับ ดังนั้นเมื่อพรรคใดชนะ ก็จะต้องปฏิบัติตามสัญญา หากไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลสมคุย หรือกลับได้ผลตรงกันข้ามในทางลบ ประชาชนก็มีโอกาสรู้หรือกลับตัวด้วยการสั่งสอนไม่เลือกพรรคนั้นอีก ดังนี้เป็นต้น
นานมาแล้ว ผมเขียนบทความเรื่อง “ความเป็นไปไม่ได้ของระบบพรรคการเมืองไทย” อธิบายว่าส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดพรรคการเมืองไทยจัดตั้งขึ้นมาโดยหัวหน้า จึงถูกครอบงำและควบคุมโดยผลประโยชน์ของหัวหน้า ไม่มีลักษณะเป็นพรรคการเมืองโดยแท้จริง แต่เป็นเพราะกฎหมายบอกให้เป็นโดยการจดทะเบียนเท่านั้น แต่มีพฤติกรรมเป็นก๊วนหรือแก๊งเลือกตั้ง บางกรณีอาจเทียบได้กับมาเฟีย ซ่องโจรและอั้งยี่มากกว่า
ดังนั้น พรรคการเมือง กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้งหรือแม้แต่ กกต.ที่วิวัฒนาการเรื่อยมาตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา จึงล้วนแล้วแต่ใช้อำนาจและเงินแสวงหาอำนาจ และเมื่อได้อำนาจแล้วก็ถือเป็นสมบัติผลัดกันชม ร่วมกันหรือแย่งกันกอบโกยคดโกงและทำลายกฎหมายเพื่อความอยู่รอดของตนเองและพวกพ้องแบบชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ เหมือนกระสือฝูงห่าลงหากิน เมื่อหัวหน้าหมดบุญแล้วก็เร่ร่อนเป็นสัมภเวสีจนกว่าจะหาที่พึ่งที่ยึดใหม่ได้ วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้
ในความพยายามที่จะอ้างว่าไทยเหมือนอังกฤษ นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญการร่างรัฐธรรมนูญไทย จึงได้จัดแจงเอากระพี้ของรัฐธรรมนูญอังกฤษ ซึ่งไม่ได้เขียนขึ้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเอาไปบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 76 พรรค 2 ดังนี้
“ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องจัดให้มีแผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน”
อยากถามว่ามีรัฐบาลไหนทำบ้าง
อำนาจอธิปไตยซึ่งแบ่งออกเป็นสาม อันหนึ่งคืออำนาจนิติบัญญัติที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบให้รัฐสภาเป็นผู้ใช้ ในความเป็นจริงรัฐบาลกับสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่จะต้องร่วมกันใช้ ด้วยการออกกฎหมายมาสร้างสรรค์หรือป้องกันการทำลายสังคมและประเทศชาติ
สภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่หลัก 2 อย่าง คือ 1. ออกกฎหมาย 2. ควบคุมการบริหารของรัฐบาล
อย่างที่ 2 นี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะลูกแก๊งและสมุนอั้งยี่ที่ไหนบ้างที่ควบคุมลูกพี่ได้
เพราะฉะนั้นจึงเหลืออยู่แต่หน้าที่ออกกฎหมาย
ถามจริงๆ ประเทศนี้ใครรู้บ้างว่ารัฐบาลสมัคร (พลังประชาชน/ไทยรักไทยแปลง) ออกกฎหมายกี่ฉบับ คำตอบคือ 0 รัฐบาลสมชาย (เพื่อไทย/ไทยรักไทยแปลง) คำตอบคือ 1 ได้แก่ พ.ร.บ.งบประมาณ เพราะถ้าไม่ออกก็จะไม่มีเงินให้ใช้
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะรัฐบาลอุทิศกำลังและจิตวิญญาณให้กับการแก้รัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อจะล้างมลทินให้กับทักษิณทั้งสิ้น ไม่มีปัญญาหรือจิตใจจะทำอะไรอย่างอื่น
รัฐบาลทักษิณ และพรรคไทยรักไทยต้องคำพิพากษาว่าทำลายระบบประชาธิปไตย
แต่ที่ผมกำลังจะถามนี้หนักกว่านั้น คือ การทำลายอำนาจอธิปไตย
คนไทยทราบหรือเปล่าว่าการไม่ยอมออกกฎหมาย และไม่ควบคุมรัฐบาลแต่ปล่อยให้รัฐบาลควบคุมนั้นเป็นการทำลายอำนาจอธิปไตยของชาติ
คำถามต่อไปก็คือ รัฐบาล-สภากับพรรคการเมืองร่วมกันทำลายอำนาจอธิปไตย เราจะทำอย่างไร
หากถามรัฐบาล คำตอบก็คือ ไม่เห็นต้องจะทำอะไร ก็กูมีอำนาจซะอย่าง แล้วไอ้ราษฎรโง่ๆ ของประเทศนี้ มันจะทำอะไรกูได้ 5-5-5
อับราฮัม ลินคอล์น จะตอบคำถามว่าจะต้องทำอย่างไร ฉบับหน้า
โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง พระราชดำรัสจะเริ่มต้นด้วยการบอกว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายอะไรบ้าง เพราะอะไร (เพราะได้สัญญากับประชาชนไว้)
นี่คือคำแปลบางตอนของ พระราชดำรัสสมเด็จพระบรมราชินีนาถต่อหน้ารัฐสภาอังกฤษ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 โปรดอ่านตัวจริงจาก http://www.spectator.co.uk/coffeehouse/6023763/the-queens-speech-full-text.thtml
ท่านลอร์ดและสมาชิกสภาสามัญของข้าพเจ้า
โปรแกรมการออกกฎหมายของรัฐบาลของข้าพเจ้าจะตั้งอยู่บนรากฐานเสรีภาพ ความยุติธรรม และความรับผิดชอบ
สำคัญอันดับหนึ่งคือลดการขาดดุลและฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ลงมือเร่งลดการขาดดุลเพราะโครงสร้าง จะได้จัดตั้งองค์กรใหม่คือสำนักงานเพื่อความรับผิดชอบงบประมาณ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับการบริหารการคลังสาธารณะ
ระบบภาษีและผลประโยชน์จากภาษีจะทำให้ง่ายลงและยุติธรรมมากขึ้นการประกันสังคมของชาติจะถูกเปลี่ยนให้สามารถรักษาภาวะการมีงานทำและสนับสนุนเศรษฐกิจ จะช่วยเหลือประชาชนให้มีงานทำ และตัดสิทธิผู้ปฏิเสธไม่ยอมทำงานที่มีให้ ตามกำหนดเวลาของการรับบำนาญจากรัฐซึ่งจะมีการแก้ไขปรับปรุง
จะออกกฎหมายเพื่อปฏิรูปกฎเกณฑ์ของสถาบันการเงินจากบทเรียนวิกฤตเศรษฐกิจในอดีต และทำให้เกิดความโปร่งใสในการจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้ถือกรมธรรม์ Equitable Life Policy
จะออกกฎหมายปรับปรุงการใช้พลังงานอย่างประหยัดทั้งในครัวเรือนและธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการลดคาร์บอน และรับประกันการมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ
จะเสนอกฎหมายใหม่เพื่อส่งเสริมให้โรงเรียนยกมาตรฐานทางวิชาการขึ้นสำเร็จ ให้ครูมีเสรีภาพในการเลือกหลักสูตรที่จะสอน และให้องค์กรภายนอกสามารถเข้ามาบริหารโรงเรียนของรัฐได้
จะเสนอกฎหมายให้ตำรวจอยู่ภายใต้การดูแลของท้องถิ่นมากขึ้น และให้ป้องกันปราบปรามการกระทำผิดที่รุนแรงเกี่ยวกับสุราและพฤติกรรมต่อต้านสังคม ท่านผู้อ่านที่เคารพ ที่ยกมาเสียยืดยาวบนนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าสังคมไทย นักวิชาการไทย และนักการเมืองไทยโกหกตัวเองและหลอกลวงประชาชนมานานแล้วว่าการเมืองไทยคล้ายกับอังกฤษ เรามีกษัตริย์และรัฐสภาเหมือนกันจริง แต่เรื่องอื่นๆโกหกทั้งเพ เราไม่เหมือนเขาทั้งเปลือก ทั้งเนื้อ ทั้งเมล็ด คือของเขาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ของเราไม่มี เราเป็นเผด็จการคณาธิปไตยที่แอบอ้างพระมหากษัตริย์
ผมอยากให้ท่านผู้อ่านตระหนักว่าไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนหรือสถาบันกษัตริย์ที่ไหนที่ไม่มีข้อบกพร่อง แต่ต่างกันที่ระบบของเขา มีพฤติกรรม พิธีกรรมในการใช้อำนาจอธิปไตยอย่างโปร่งใส ไม่ปิดบัง มีขั้นตอน กำหนดเวลาที่ประชาชนติดตาม เข้าใจ ทำนายทายทักล่วงหน้าและท้วงติงได้
พระราชดำรัสที่รัฐบาลเขียนถวายให้ทรงอ่าน ไม่มีสิทธิตัดตอนต่อเติมหรือแสดงด้วยวิธีใดๆ ว่าทรงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย รัฐบาลใดเมื่อเข้ามาก็เป็นรัฐบาลของข้าพเจ้าทั้งสิ้น และข้าพเจ้าก็ทำงานร่วมและช่วยเหลือรัฐบาลตามครรลองและภารกิจที่ประชาธิปไตยมอบหมายให้ทั้งสิ้น
นโยบายของรัฐบาลต้องอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือ พรรคการเมืองได้หาเสียงและสัญญากับประชาชนไว้ในการประชุมพรรคระดับเขตเลือกตั้ง การประชุมประจำปี การประชุมใหญ่ และในเอกสารหาเสียงเวลาเลือกตั้งที่เรียกว่า Party Manifesto ตามลำดับ ดังนั้นเมื่อพรรคใดชนะ ก็จะต้องปฏิบัติตามสัญญา หากไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลสมคุย หรือกลับได้ผลตรงกันข้ามในทางลบ ประชาชนก็มีโอกาสรู้หรือกลับตัวด้วยการสั่งสอนไม่เลือกพรรคนั้นอีก ดังนี้เป็นต้น
นานมาแล้ว ผมเขียนบทความเรื่อง “ความเป็นไปไม่ได้ของระบบพรรคการเมืองไทย” อธิบายว่าส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดพรรคการเมืองไทยจัดตั้งขึ้นมาโดยหัวหน้า จึงถูกครอบงำและควบคุมโดยผลประโยชน์ของหัวหน้า ไม่มีลักษณะเป็นพรรคการเมืองโดยแท้จริง แต่เป็นเพราะกฎหมายบอกให้เป็นโดยการจดทะเบียนเท่านั้น แต่มีพฤติกรรมเป็นก๊วนหรือแก๊งเลือกตั้ง บางกรณีอาจเทียบได้กับมาเฟีย ซ่องโจรและอั้งยี่มากกว่า
ดังนั้น พรรคการเมือง กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้งหรือแม้แต่ กกต.ที่วิวัฒนาการเรื่อยมาตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา จึงล้วนแล้วแต่ใช้อำนาจและเงินแสวงหาอำนาจ และเมื่อได้อำนาจแล้วก็ถือเป็นสมบัติผลัดกันชม ร่วมกันหรือแย่งกันกอบโกยคดโกงและทำลายกฎหมายเพื่อความอยู่รอดของตนเองและพวกพ้องแบบชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ เหมือนกระสือฝูงห่าลงหากิน เมื่อหัวหน้าหมดบุญแล้วก็เร่ร่อนเป็นสัมภเวสีจนกว่าจะหาที่พึ่งที่ยึดใหม่ได้ วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้
ในความพยายามที่จะอ้างว่าไทยเหมือนอังกฤษ นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญการร่างรัฐธรรมนูญไทย จึงได้จัดแจงเอากระพี้ของรัฐธรรมนูญอังกฤษ ซึ่งไม่ได้เขียนขึ้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเอาไปบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 76 พรรค 2 ดังนี้
“ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องจัดให้มีแผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน”
อยากถามว่ามีรัฐบาลไหนทำบ้าง
อำนาจอธิปไตยซึ่งแบ่งออกเป็นสาม อันหนึ่งคืออำนาจนิติบัญญัติที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบให้รัฐสภาเป็นผู้ใช้ ในความเป็นจริงรัฐบาลกับสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่จะต้องร่วมกันใช้ ด้วยการออกกฎหมายมาสร้างสรรค์หรือป้องกันการทำลายสังคมและประเทศชาติ
สภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่หลัก 2 อย่าง คือ 1. ออกกฎหมาย 2. ควบคุมการบริหารของรัฐบาล
อย่างที่ 2 นี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะลูกแก๊งและสมุนอั้งยี่ที่ไหนบ้างที่ควบคุมลูกพี่ได้
เพราะฉะนั้นจึงเหลืออยู่แต่หน้าที่ออกกฎหมาย
ถามจริงๆ ประเทศนี้ใครรู้บ้างว่ารัฐบาลสมัคร (พลังประชาชน/ไทยรักไทยแปลง) ออกกฎหมายกี่ฉบับ คำตอบคือ 0 รัฐบาลสมชาย (เพื่อไทย/ไทยรักไทยแปลง) คำตอบคือ 1 ได้แก่ พ.ร.บ.งบประมาณ เพราะถ้าไม่ออกก็จะไม่มีเงินให้ใช้
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะรัฐบาลอุทิศกำลังและจิตวิญญาณให้กับการแก้รัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อจะล้างมลทินให้กับทักษิณทั้งสิ้น ไม่มีปัญญาหรือจิตใจจะทำอะไรอย่างอื่น
รัฐบาลทักษิณ และพรรคไทยรักไทยต้องคำพิพากษาว่าทำลายระบบประชาธิปไตย
แต่ที่ผมกำลังจะถามนี้หนักกว่านั้น คือ การทำลายอำนาจอธิปไตย
คนไทยทราบหรือเปล่าว่าการไม่ยอมออกกฎหมาย และไม่ควบคุมรัฐบาลแต่ปล่อยให้รัฐบาลควบคุมนั้นเป็นการทำลายอำนาจอธิปไตยของชาติ
คำถามต่อไปก็คือ รัฐบาล-สภากับพรรคการเมืองร่วมกันทำลายอำนาจอธิปไตย เราจะทำอย่างไร
หากถามรัฐบาล คำตอบก็คือ ไม่เห็นต้องจะทำอะไร ก็กูมีอำนาจซะอย่าง แล้วไอ้ราษฎรโง่ๆ ของประเทศนี้ มันจะทำอะไรกูได้ 5-5-5
อับราฮัม ลินคอล์น จะตอบคำถามว่าจะต้องทำอย่างไร ฉบับหน้า