ASTV ผู้จัดการรายวัน – หุ้นไทยพุ่ง 15 จุด ปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก เหตุนักลงทุนคาดหวังการประชุมผู้นำอียู จะมีมาตรการออกมาแก้ไขปัญหาหนี้ในยุโรป หลังโดยสถาบันจัดอันดับเอสแอนด์พี ขู่หั่นเครดิตเรทติ้ง โบรกฯประเมินวันนี้(8ธ.ค.) ดัชนีมีโอกาสขยับตัวขึ้นต่อ และอาจมีการปรับฐานหลังมีแรงซื้อเข้ามามาก แนะนำรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
ตลาดหุ้นไทยวานนี้(7ธ.ค.)ปรับตัวในแดนบวก ปิดที่ระดับ 1,046.73 จุด เพิ่มขึ้น 15.96 จุด หรือ 1.55% มูลค่าการซื้อขาย 31,499.09 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,046.73 จุด ส่วนจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,035.83 จุด ภาพรวมการเคลื่อนไหวของดัชนีเป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ที่ต่างปรับตัวขึ้น ตามที่หลายฝ่ายคาดกาณ์ว่า การประชุมผู้นำอียู จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ในยุโรปออกมา
โดย วานนี้ นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1,298.67 ล้านบาท เช่นเดียวกัย สถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ซื้อสุทธิ 204.44 ล้านบาท และ 798.86 ล้านบาท ตามลำดับ
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 373 หลักทรัพย์ ลดลง 106 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 119 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,553.61 ล้านบาท ปิดที่ 158.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท IRPC มูลค่าการซื้อขาย 1,386.24 ล้านบาท ปิดที่ 4.54 บาท เพิ่มขึ้น 0.32 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,267.21 ล้านบาท ปิดที่ 124.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,187.66 ล้านบาท ปิดที่ 16.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,176.58 ล้านบาท ปิดที่ 66.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า วานนี้ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวได้แรงตลอดทั้งวัน เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังผลการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรปในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ โดยคาดว่าจะมีการออกมาตรการเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ หลังก่อนหน้านี้ที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือเอสแอนด์พีได้ออกมาเตือนว่าหากที่ประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปไม่มีความคืบหน้าในการหาแนวทางควบคุมวิกฤตหนี้ อาจปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อของหลายประเทศในกลุ่มยุโรปลง
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันที่ 8 ธ.ค.นี้ ดัชนีคงไม่แกว่งตัวหวือหวามากนัก และอาจเริ่มปรับฐานเพราะในเชิงเทคนิคพบว่าดัชนีเริ่มเข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป โดยประเมินแนวรับที่ 1,030 จุด และแนวต้านที่ 1,056-1,062 จุด ด้านกลยุทธ์ แนะนำรอซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัว โดยเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มพลังงาน และธนาคาร
ด้านนายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ทั้งตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงตลาดในยุโรปที่เปิดมาอยู่ในแดนบวก เช่นเดียวกับดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ที่อยู่ในแดนบวกมาตั้งแต่ช่วงเช้า
โดยมองว่า คงเป็นผลจากกรณีที่ S&P ออกมาระบุว่าจะลดความน่าเชื่อถือของธนาคารในกลุ่มยูโรโซน ทำให้เป็นแรงกดดันให้ผู้นำแต่ละประเทศในยุโรปต่างต้องร่วมมือกันหามาตรการออกมาแก้ไขปัญหาหนี้ในยูโรโซน ดังนั้น ตลาดฯจึงมีการเก็งเรื่องของความคืบหน้าของมาตรการแก้ไขปัญหาที่จะมีออกมาจากการหารือกลุ่มผู้นำอียูปลายสัปดาห์นี้
"ตลาดบ้านเรามีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นบิ๊กแคปทั้งหลาย แต่การขึ้นปรับขึ้นของตลาดฯก็มีกรอบจำกัดเหมือนกัน เพราะหวั่นว่าหากไม่เป็นไปดังที่คาดการณ์หมายไว้แล้วจะเกิดความเสียหายมาก จึงยังไม่ทุ่มซื้อลงไปมาก แต่การปรับตัวขึ้นก็แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดฯยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้อีก แต่ก็ต้องจับตาสถานการณ์ในยุโรปอย่างใกล้ชิดด้วย พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,040-1,050 จุด”
ตลาดหุ้นไทยวานนี้(7ธ.ค.)ปรับตัวในแดนบวก ปิดที่ระดับ 1,046.73 จุด เพิ่มขึ้น 15.96 จุด หรือ 1.55% มูลค่าการซื้อขาย 31,499.09 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,046.73 จุด ส่วนจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,035.83 จุด ภาพรวมการเคลื่อนไหวของดัชนีเป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ที่ต่างปรับตัวขึ้น ตามที่หลายฝ่ายคาดกาณ์ว่า การประชุมผู้นำอียู จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ในยุโรปออกมา
โดย วานนี้ นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 1,298.67 ล้านบาท เช่นเดียวกัย สถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ซื้อสุทธิ 204.44 ล้านบาท และ 798.86 ล้านบาท ตามลำดับ
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 373 หลักทรัพย์ ลดลง 106 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 119 หลักทรัพย์ ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,553.61 ล้านบาท ปิดที่ 158.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท IRPC มูลค่าการซื้อขาย 1,386.24 ล้านบาท ปิดที่ 4.54 บาท เพิ่มขึ้น 0.32 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,267.21 ล้านบาท ปิดที่ 124.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,187.66 ล้านบาท ปิดที่ 16.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,176.58 ล้านบาท ปิดที่ 66.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า วานนี้ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวได้แรงตลอดทั้งวัน เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังผลการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรปในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ โดยคาดว่าจะมีการออกมาตรการเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ หลังก่อนหน้านี้ที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือเอสแอนด์พีได้ออกมาเตือนว่าหากที่ประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปไม่มีความคืบหน้าในการหาแนวทางควบคุมวิกฤตหนี้ อาจปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อของหลายประเทศในกลุ่มยุโรปลง
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันที่ 8 ธ.ค.นี้ ดัชนีคงไม่แกว่งตัวหวือหวามากนัก และอาจเริ่มปรับฐานเพราะในเชิงเทคนิคพบว่าดัชนีเริ่มเข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป โดยประเมินแนวรับที่ 1,030 จุด และแนวต้านที่ 1,056-1,062 จุด ด้านกลยุทธ์ แนะนำรอซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัว โดยเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มพลังงาน และธนาคาร
ด้านนายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ทั้งตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงตลาดในยุโรปที่เปิดมาอยู่ในแดนบวก เช่นเดียวกับดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ที่อยู่ในแดนบวกมาตั้งแต่ช่วงเช้า
โดยมองว่า คงเป็นผลจากกรณีที่ S&P ออกมาระบุว่าจะลดความน่าเชื่อถือของธนาคารในกลุ่มยูโรโซน ทำให้เป็นแรงกดดันให้ผู้นำแต่ละประเทศในยุโรปต่างต้องร่วมมือกันหามาตรการออกมาแก้ไขปัญหาหนี้ในยูโรโซน ดังนั้น ตลาดฯจึงมีการเก็งเรื่องของความคืบหน้าของมาตรการแก้ไขปัญหาที่จะมีออกมาจากการหารือกลุ่มผู้นำอียูปลายสัปดาห์นี้
"ตลาดบ้านเรามีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นบิ๊กแคปทั้งหลาย แต่การขึ้นปรับขึ้นของตลาดฯก็มีกรอบจำกัดเหมือนกัน เพราะหวั่นว่าหากไม่เป็นไปดังที่คาดการณ์หมายไว้แล้วจะเกิดความเสียหายมาก จึงยังไม่ทุ่มซื้อลงไปมาก แต่การปรับตัวขึ้นก็แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดฯยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้อีก แต่ก็ต้องจับตาสถานการณ์ในยุโรปอย่างใกล้ชิดด้วย พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,040-1,050 จุด”