ASTVผู้จัดการรายวัน - โบรกเกอร์ขาย-ปล่อยเช่าโกดังสินค้า โรงงาน เฟื่องหลังน้ำท่วมเจ้าของแห่ขายทิ้ง ระบุย่านปทุมขายเยอะสุด ขณะที่เจ้าของกิจการย้ายโรงงานย้ายไปทำเลปลอดน้ำท่วม เผยโซนตะวันออกกทม. ปราจีน ราชบุรี โคราช ขอนแก่น ฮอตสุด ด้านคอนโดฯสุขุมวิททรงตัว ขณะที่หัวหินราคาพุ่ง 10%
นายวสันต์ รัตนกิจจานุกูล บริษัท ซี.ไอ.ที. พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์มือสองหลังน้ำลดคาดว่าผู้บริโภคจะชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปเนื่องจากความไม่เชื่อมั่น แต่เชื่อว่าหลังน้ำลดลูกค้ากลุ่มดังกล่าวจะตัดสินใจซื้อ
ปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ประเภทโกดังสินค้า โรงงาน และที่ดินเปล่าเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันมีเจ้าของโรงงานในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมก็มีความประสงค์ที่จะย้ายไปตั้งโรงงานในทำเลที่ปลอดภัยจากน้ำท่วมมากขึ้น โดยทำเลที่มีความต้องการมากในขณะนี้ได้แก่ โซนตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ทางหลวงหมายเลข 314 และ 319 นอกจากนี้ยังมีทำเลที่อยู่รอบนอกกรุงเทพฯ อาทิ ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ราชบุรี เป็นต้น
“นับจากน้ำท่วมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้ง อยุธยา ปทุมธานี ทำให้มีการย้ายโกดังสินค้า หรือโรงงานไปยังทำเลที่ปลอดจากน้ำท่วมจำนวนมาก ปัจจุบันมีลูกค้าอยู่ระหว่างเจรจาซื้อ-ขายที่ดินโรงงานหลายแปลง อาทิ โกดังบนพื้นที่ 300 ไร่ มูลค่า 100 ล้านบาท, ที่ดินโรงงาน ขนาด 342 ไร่ มูลค่า 120 ล้านบาท ที่อ.ท่าพระ จ.ขอนแก่น” นายวสันต์ กล่าว
ด้านนายกวินทร์ ศรีปุงวิวัฒน์ บริษัท แอคคิว เรียลตี้ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันมีโกดังสินค้า และโรงงาน ย่านปทุมธานีเข้ามาให้บริษัทบริหารการขายและปล่อยเช่ามากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากเจ้าของต้องการย้ายไปอยู่ในทำเลที่ปลอดภัยกว่า ส่วนตลาดบ้านมือสองในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาลดลงไปกว่า 40% อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเชื่อว่าภายหลังน้ำลดตลาดบ้านมือสองจะไม่เลวร้ายถึงขึ้นหยุดชงัก อาจชะลอตัวลงบ้างเล็กน้อย หลังจากนั้นจะปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้สินค้าที่บริษัทมีอยู่ในพอร์ตมากที่สุด ได้แก่ คอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิท ซึ่งมีกว่า 1,000 รายการ ปัจจุบันกำลังซื้อทรงตัว แต่คาดว่าจะกลับมีดีขึ้นหลังน้ำลด ส่วนคอนโดมิเนียมย่านหัวหิน มีประมาณ 1,000 รายการ ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมใหม่ราคาปรับขึ้นประมาณ 10% ในขณะที่ดินเปล่าราคาปรับขึ้นเป็นบางพื้นที่ โดยที่ดินริมทะเลราคาสูงถึง 60 ล้านบาท/ไร่ ย่านเขาเตา ราคา 18-20 ล้านบาท/ไร่
สำหรับภาวะตลาดในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น แต่ไม่หวือหวา แม้ว่าในช่วงน้ำท่วมจะมีกลุ่มลูกค้าที่หนีน้ำท่วมไปอยู่ที่หัวหินจำนวนมาก แต่เป็นการอยู่อาศัยระยะสั้น อย่างไรก็ตามแนวโน้มลูกค้ากลุ่มดังกล่าวจะซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง ในขณะที่ลูกค้าชาวต่างชาติที่ซื้อบ้านในย่านหัวหินมีเพียง 10% เท่านั้น สำหรับในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปรับบริหารงานขายที่พัทยา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีแนวโน้มเติบโตมาก
นายวสันต์ รัตนกิจจานุกูล บริษัท ซี.ไอ.ที. พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์มือสองหลังน้ำลดคาดว่าผู้บริโภคจะชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปเนื่องจากความไม่เชื่อมั่น แต่เชื่อว่าหลังน้ำลดลูกค้ากลุ่มดังกล่าวจะตัดสินใจซื้อ
ปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ประเภทโกดังสินค้า โรงงาน และที่ดินเปล่าเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันมีเจ้าของโรงงานในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมก็มีความประสงค์ที่จะย้ายไปตั้งโรงงานในทำเลที่ปลอดภัยจากน้ำท่วมมากขึ้น โดยทำเลที่มีความต้องการมากในขณะนี้ได้แก่ โซนตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ทางหลวงหมายเลข 314 และ 319 นอกจากนี้ยังมีทำเลที่อยู่รอบนอกกรุงเทพฯ อาทิ ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ราชบุรี เป็นต้น
“นับจากน้ำท่วมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้ง อยุธยา ปทุมธานี ทำให้มีการย้ายโกดังสินค้า หรือโรงงานไปยังทำเลที่ปลอดจากน้ำท่วมจำนวนมาก ปัจจุบันมีลูกค้าอยู่ระหว่างเจรจาซื้อ-ขายที่ดินโรงงานหลายแปลง อาทิ โกดังบนพื้นที่ 300 ไร่ มูลค่า 100 ล้านบาท, ที่ดินโรงงาน ขนาด 342 ไร่ มูลค่า 120 ล้านบาท ที่อ.ท่าพระ จ.ขอนแก่น” นายวสันต์ กล่าว
ด้านนายกวินทร์ ศรีปุงวิวัฒน์ บริษัท แอคคิว เรียลตี้ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันมีโกดังสินค้า และโรงงาน ย่านปทุมธานีเข้ามาให้บริษัทบริหารการขายและปล่อยเช่ามากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากเจ้าของต้องการย้ายไปอยู่ในทำเลที่ปลอดภัยกว่า ส่วนตลาดบ้านมือสองในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาลดลงไปกว่า 40% อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเชื่อว่าภายหลังน้ำลดตลาดบ้านมือสองจะไม่เลวร้ายถึงขึ้นหยุดชงัก อาจชะลอตัวลงบ้างเล็กน้อย หลังจากนั้นจะปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้สินค้าที่บริษัทมีอยู่ในพอร์ตมากที่สุด ได้แก่ คอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิท ซึ่งมีกว่า 1,000 รายการ ปัจจุบันกำลังซื้อทรงตัว แต่คาดว่าจะกลับมีดีขึ้นหลังน้ำลด ส่วนคอนโดมิเนียมย่านหัวหิน มีประมาณ 1,000 รายการ ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมใหม่ราคาปรับขึ้นประมาณ 10% ในขณะที่ดินเปล่าราคาปรับขึ้นเป็นบางพื้นที่ โดยที่ดินริมทะเลราคาสูงถึง 60 ล้านบาท/ไร่ ย่านเขาเตา ราคา 18-20 ล้านบาท/ไร่
สำหรับภาวะตลาดในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น แต่ไม่หวือหวา แม้ว่าในช่วงน้ำท่วมจะมีกลุ่มลูกค้าที่หนีน้ำท่วมไปอยู่ที่หัวหินจำนวนมาก แต่เป็นการอยู่อาศัยระยะสั้น อย่างไรก็ตามแนวโน้มลูกค้ากลุ่มดังกล่าวจะซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง ในขณะที่ลูกค้าชาวต่างชาติที่ซื้อบ้านในย่านหัวหินมีเพียง 10% เท่านั้น สำหรับในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปรับบริหารงานขายที่พัทยา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีแนวโน้มเติบโตมาก
