สำราญ รอดเพชร
samr_rod@hotmail.com
เมื่อ “ลักหลับ” พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ หวังให้ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็น 1 ใน 26,000 ผู้ต้องโทษและ/หรือผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุกที่จะได้รับ “พระราชทานอภัยโทษ” ในวโรกาสครบ 7 รอบวันเฉลิมพระชนมพรรษาไม่สำเร็จ ขบวนการของระบอบทักษิณก็เปลี่ยนเกียร์เปลี่ยนเกมมาเป็นการผลักดัน พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ในนามของความปรองดองแห่งชาติ ที่จะนิรโทษกรรมให้กับทุกสีเสื้อทุกหมู่เหล่าที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีทางการเมือง...แทน
ทั้งเหล่าเสื้อเหลือง-พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, คนเสื้อแดง ที่นำโดยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.), เสื้อหลากสีที่เคยร่วมกับพันธมิตรฯ...ฯลฯ..
รวมทั้งที่พลาดไม่ได้ ต้องมีคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ต้องโทษจากคดี ป.ป.ช.รวมอยู่ด้วย
สถานการณ์การเมืองก่อนและหลังรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 จนถึงวันนี้ 5 ปีเศษ ทั้งคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงระดับนำๆ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย คดีทางอาญาอันเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองในปริมาณที่มากพอๆ กัน
ทั้งๆ ที่จุดประสงค์ อุดมการณ์และวิธีการแห่งความเคลื่อนไหวนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว..สวรรค์กับนรก...ซึ่งวันนี้ผมไม่จำเป็นต้องพูดถึงหรือพูดซ้ำอีกแล้ว...
เมื่อเปลี่ยนเกียร์เปลี่ยนเกมมาเป็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พลพรรคของระบอบทักษิณก็ต้องเคลื่อนไหวตอกย้ำให้เห็นว่าประเทศไทยจะเดินหน้าไม่ได้ ถ้าไม่ปรองดองและให้อภัยต่อกัน มากกว่านั้นขณะนี้สิ่งที่พวกเขาพยายามลากเข้ามาร่วมวงปรองดองเพื่ออภัยโทษให้ทักษิณด้วยก็คือ “ทหาร” หรือกองทัพ ด้วยการเคลื่อนไหวรุกฆาตทำให้สังคมแลเห็นหรือเข้าใจว่า...กองทัพก็คือจำเลย คือผู้ (ก่อการ) ร้ายที่ฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงตายในห้วงเหตุการณ์การชุมนุมเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553 ที่พวกเขาก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองนั่นเอง..
ครับ วันนี้คดี 91 ศพ ถูกปลุกปั่นให้เป็นคดีร้อนอีกรอบ แต่จะร้อนระดับปรอทแตกหรือไม่ก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่ามีการขับเคลื่อนกันอย่างเป็นกระบวนการและมีจังหวะก้าว...
หากย้อนไปเมื่อปี 2553 หลังเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองหมาดๆ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ เคยแถลงต่างกรรมต่างวาระว่า คดีที่ถูกส่งไปยังดีเอสไอ (ประมารณ 16 คดี) มีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มแรก 12 ศพ น่าเชื่อว่าตายเพราะปฏิบัติการของ นปช.หรือขบวนการที่เกี่ยวข้อง และอีก 4 ศพ อาจเสียชีวิตเพราะเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ..
ว่ากันตามตรง สุ้มเสียงในระยะแรกๆ (ก่อนการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554) ของอธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์ ดูจะหนักแน่นมั่นคงว่าคนเสื้อแดงเป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดการเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมาก แต่หลังการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยชนะและได้จัดตั้งรัฐบาล พร้อมทั้งมีสัญญาณว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนตัวอธิบดีกรมดีเอสไอ ดูเหมือนว่าน้ำเสียงและจุดยืนของอธิบดีธาริตก็เปลี่ยนไป...ดูง่ายๆ เรื่องการคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาคนเสื้อแดงก็ดำเนินการอย่างไม่เข้มแข็งหรือแข็งแรง...
หลายท่านอาจยังจำได้ว่า แม้แต่ผู้ต้องหาคนสำคัญอย่าง นายสุรชัย หรือ “หรั่ง” เทวรัตน์ คนสนิทเสธ.แดง ที่เกี่ยวข้องกับอีก 7-8 คดี และเชื่อกันว่านายคนนี้น่าจะเกี่ยวโยงกับการยิง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ก็ยังได้รับการประกันตัวฉลุย ด้วยหลักทรัพย์แค่ 6 แสนบาท
วันนี้ถามว่า...คดียิง พล.อ.ร่มเกล้าและทหารหาญอีก 4 นายที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่เสียชีวิตอย่างน่าอนาถไปถึงไหนแล้ว...คำตอบยังอยู่ในสายลม...และลิ่มเลือดที่ไหลลงท่อสี่แยกคอกวัว!!??
แต่ที่กำลังใส่เกียร์ห้าเดินหน้าเต็มสูบคือ 1) คดีที่คนเสื้อแดงเสียชีวิต 13 ศพในพื้นที่การชุมนุมเคลื่อนไหวใน กทม.กำลังถูกเร่งรัดให้สรุปสำนวนอย่างมีการจัดการเพื่อพุ่งเป้าไปที่ “ทหาร” ว่าเป็นคนยิง เช่นเดียวกับ 2) คดีที่อยู่ในมือดีเอสไอ 16 คดี ก็ถูกดึงกลับมาเข้าสู่กระบวนการเดียวกับ 13 คดี
รวมแล้ว 29 คดี ถูกดึงมาอยู่ในความรับผิดชอบของ รอง ผบช.น.ที่ชื่อ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง อดีตผบก.น.5 ซึ่งวันนี้ได้เรียกตัวนายทหารทั้งฝ่ายอำนวยการ, ฝ่ายคุมกำลังที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งในห้วงเม.ย.-พ.ค.2553 ไปให้ปากคำแล้วจำนวนมาก และในวันที่ 2 ธ.ค. 2554 นี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในฐานะ ผอ.ศอฉ.ก็จะต้องชักแถวไปให้ปากคำเหมือนกัน !!??
จริงอยู่นี่คือการว่ากันตามขั้นตอนของกฎหมาย ป.วิอาญา มาตรา 150 ว่าด้วยการชันสูตรศพ แต่เนื้อในแห่งรูปคดีคือการชี้เป้าว่า “ทหาร” คือมือสังหาร ซึ่งอีกไม่นานนักก็ต้องรอดูว่าศาลท่านจะสั่งว่าอย่างไร
แต่ไม่ทันไร..ไม่ทันที่อัยการซึ่งจะเป็นผู้ร้องต่อศาลตาม ป.วิอาญา มาตรา 150 ขบวนการคนเสื้อแดง หรือแม้แต่คนที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่าง “เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ก็ฟันธงเปรี้ยงปร้างกับท่านทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทยแล้วว่า คนที่ยิงนักข่าว-ช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นก็คือ “ทหาร”
นั่นยังไม่นับแนวรบด้านสภาผู้แทนราษฎร ดร.ผมขาว “สุนัย จุลพงศธร” ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ เพื่อนมิตรของทนายแม้วที่ชื่อ “อัมสเตอร์ดัม” ประกาศว่าจะผลักดันคดี 91 ศพ สู่แนวรบสากล สู่ศาลอาญาระหว่างประเทศอีกต่างหาก...
ครับ นี่ว่ากันอย่างย่นย่อพอให้แลเห็นว่า..เสื้อแดงแรงฤทธิ์ขนาดไหน...เล็กๆไม่ ใหญ่ๆ เพื่อไทยเขาเดินหน้าแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมขนาดไหน อย่างไร..
พูดเช่นนี้ ใช่ว่าผมจะไปชื่นชมพรรคเพื่อไทยหรือพูดแบบสะใจอะไรอยู่ลึกๆ ก็หาไม่...เพียงแต่สงสารทหารระดับ ผบ.ร้อย, ผบ.พัน, ผบ.กรม หรือแม้แต่ระดับไอ้เณร ที่เกิดความรู้สึกแบบงงๆ ว่า...วันนี้เหตุการณ์มันจะกลับตาลปัตรหรืออย่างไร พวกผู้ร้าย, พวกเผาบ้านเผาเมืองมันกำลังจะกลายเป็นโจทย์เล่นงานชาวบ้าน เล่นงานเจ้าหน้าที่ที่ออกไปดูแลความสงบให้กับบ้านเมือง พวกเขาคือผู้กำหนดชะตากรรมบ้านเมืองใช่ไหม.. ซึ่งผมได้มีโอกาสพูดคุยกับพวกเขาบางคนก็รู้สึกเห็นใจและชี้แจงให้เข้าใจว่า คงไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนอะไรหรอก ขั้นตอนมันอีกยาว...แม่ทัพนายกองของพวกคุณคงไม่ทิ้งขว้างพวกคุณหรอก..
ทั้งๆ ที่ส่วนลึกผมอยากบอกพวกเขาว่า....บางทีแม่ทัพนายกองของพวกคุณบางคน บางรายก็ไม่ไหว ไม่มีศักดิ์ศรีจริงๆ พวกคุณน่าจะตบเท้าชักแถวไปคุยกับบรรดาท่านๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน...
แต่ผมก็ได้แค่แอบคิดเท่านั้น!!!!
samr_rod@hotmail.com
เมื่อ “ลักหลับ” พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ หวังให้ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็น 1 ใน 26,000 ผู้ต้องโทษและ/หรือผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุกที่จะได้รับ “พระราชทานอภัยโทษ” ในวโรกาสครบ 7 รอบวันเฉลิมพระชนมพรรษาไม่สำเร็จ ขบวนการของระบอบทักษิณก็เปลี่ยนเกียร์เปลี่ยนเกมมาเป็นการผลักดัน พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ในนามของความปรองดองแห่งชาติ ที่จะนิรโทษกรรมให้กับทุกสีเสื้อทุกหมู่เหล่าที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีทางการเมือง...แทน
ทั้งเหล่าเสื้อเหลือง-พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, คนเสื้อแดง ที่นำโดยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.), เสื้อหลากสีที่เคยร่วมกับพันธมิตรฯ...ฯลฯ..
รวมทั้งที่พลาดไม่ได้ ต้องมีคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ต้องโทษจากคดี ป.ป.ช.รวมอยู่ด้วย
สถานการณ์การเมืองก่อนและหลังรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 จนถึงวันนี้ 5 ปีเศษ ทั้งคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงระดับนำๆ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย คดีทางอาญาอันเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองในปริมาณที่มากพอๆ กัน
ทั้งๆ ที่จุดประสงค์ อุดมการณ์และวิธีการแห่งความเคลื่อนไหวนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว..สวรรค์กับนรก...ซึ่งวันนี้ผมไม่จำเป็นต้องพูดถึงหรือพูดซ้ำอีกแล้ว...
เมื่อเปลี่ยนเกียร์เปลี่ยนเกมมาเป็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พลพรรคของระบอบทักษิณก็ต้องเคลื่อนไหวตอกย้ำให้เห็นว่าประเทศไทยจะเดินหน้าไม่ได้ ถ้าไม่ปรองดองและให้อภัยต่อกัน มากกว่านั้นขณะนี้สิ่งที่พวกเขาพยายามลากเข้ามาร่วมวงปรองดองเพื่ออภัยโทษให้ทักษิณด้วยก็คือ “ทหาร” หรือกองทัพ ด้วยการเคลื่อนไหวรุกฆาตทำให้สังคมแลเห็นหรือเข้าใจว่า...กองทัพก็คือจำเลย คือผู้ (ก่อการ) ร้ายที่ฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงตายในห้วงเหตุการณ์การชุมนุมเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553 ที่พวกเขาก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองนั่นเอง..
ครับ วันนี้คดี 91 ศพ ถูกปลุกปั่นให้เป็นคดีร้อนอีกรอบ แต่จะร้อนระดับปรอทแตกหรือไม่ก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่ามีการขับเคลื่อนกันอย่างเป็นกระบวนการและมีจังหวะก้าว...
หากย้อนไปเมื่อปี 2553 หลังเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองหมาดๆ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ เคยแถลงต่างกรรมต่างวาระว่า คดีที่ถูกส่งไปยังดีเอสไอ (ประมารณ 16 คดี) มีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มแรก 12 ศพ น่าเชื่อว่าตายเพราะปฏิบัติการของ นปช.หรือขบวนการที่เกี่ยวข้อง และอีก 4 ศพ อาจเสียชีวิตเพราะเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ..
ว่ากันตามตรง สุ้มเสียงในระยะแรกๆ (ก่อนการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554) ของอธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์ ดูจะหนักแน่นมั่นคงว่าคนเสื้อแดงเป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดการเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมาก แต่หลังการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยชนะและได้จัดตั้งรัฐบาล พร้อมทั้งมีสัญญาณว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนตัวอธิบดีกรมดีเอสไอ ดูเหมือนว่าน้ำเสียงและจุดยืนของอธิบดีธาริตก็เปลี่ยนไป...ดูง่ายๆ เรื่องการคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาคนเสื้อแดงก็ดำเนินการอย่างไม่เข้มแข็งหรือแข็งแรง...
หลายท่านอาจยังจำได้ว่า แม้แต่ผู้ต้องหาคนสำคัญอย่าง นายสุรชัย หรือ “หรั่ง” เทวรัตน์ คนสนิทเสธ.แดง ที่เกี่ยวข้องกับอีก 7-8 คดี และเชื่อกันว่านายคนนี้น่าจะเกี่ยวโยงกับการยิง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ก็ยังได้รับการประกันตัวฉลุย ด้วยหลักทรัพย์แค่ 6 แสนบาท
วันนี้ถามว่า...คดียิง พล.อ.ร่มเกล้าและทหารหาญอีก 4 นายที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่เสียชีวิตอย่างน่าอนาถไปถึงไหนแล้ว...คำตอบยังอยู่ในสายลม...และลิ่มเลือดที่ไหลลงท่อสี่แยกคอกวัว!!??
แต่ที่กำลังใส่เกียร์ห้าเดินหน้าเต็มสูบคือ 1) คดีที่คนเสื้อแดงเสียชีวิต 13 ศพในพื้นที่การชุมนุมเคลื่อนไหวใน กทม.กำลังถูกเร่งรัดให้สรุปสำนวนอย่างมีการจัดการเพื่อพุ่งเป้าไปที่ “ทหาร” ว่าเป็นคนยิง เช่นเดียวกับ 2) คดีที่อยู่ในมือดีเอสไอ 16 คดี ก็ถูกดึงกลับมาเข้าสู่กระบวนการเดียวกับ 13 คดี
รวมแล้ว 29 คดี ถูกดึงมาอยู่ในความรับผิดชอบของ รอง ผบช.น.ที่ชื่อ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง อดีตผบก.น.5 ซึ่งวันนี้ได้เรียกตัวนายทหารทั้งฝ่ายอำนวยการ, ฝ่ายคุมกำลังที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งในห้วงเม.ย.-พ.ค.2553 ไปให้ปากคำแล้วจำนวนมาก และในวันที่ 2 ธ.ค. 2554 นี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในฐานะ ผอ.ศอฉ.ก็จะต้องชักแถวไปให้ปากคำเหมือนกัน !!??
จริงอยู่นี่คือการว่ากันตามขั้นตอนของกฎหมาย ป.วิอาญา มาตรา 150 ว่าด้วยการชันสูตรศพ แต่เนื้อในแห่งรูปคดีคือการชี้เป้าว่า “ทหาร” คือมือสังหาร ซึ่งอีกไม่นานนักก็ต้องรอดูว่าศาลท่านจะสั่งว่าอย่างไร
แต่ไม่ทันไร..ไม่ทันที่อัยการซึ่งจะเป็นผู้ร้องต่อศาลตาม ป.วิอาญา มาตรา 150 ขบวนการคนเสื้อแดง หรือแม้แต่คนที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่าง “เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ก็ฟันธงเปรี้ยงปร้างกับท่านทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทยแล้วว่า คนที่ยิงนักข่าว-ช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นก็คือ “ทหาร”
นั่นยังไม่นับแนวรบด้านสภาผู้แทนราษฎร ดร.ผมขาว “สุนัย จุลพงศธร” ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ เพื่อนมิตรของทนายแม้วที่ชื่อ “อัมสเตอร์ดัม” ประกาศว่าจะผลักดันคดี 91 ศพ สู่แนวรบสากล สู่ศาลอาญาระหว่างประเทศอีกต่างหาก...
ครับ นี่ว่ากันอย่างย่นย่อพอให้แลเห็นว่า..เสื้อแดงแรงฤทธิ์ขนาดไหน...เล็กๆไม่ ใหญ่ๆ เพื่อไทยเขาเดินหน้าแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมขนาดไหน อย่างไร..
พูดเช่นนี้ ใช่ว่าผมจะไปชื่นชมพรรคเพื่อไทยหรือพูดแบบสะใจอะไรอยู่ลึกๆ ก็หาไม่...เพียงแต่สงสารทหารระดับ ผบ.ร้อย, ผบ.พัน, ผบ.กรม หรือแม้แต่ระดับไอ้เณร ที่เกิดความรู้สึกแบบงงๆ ว่า...วันนี้เหตุการณ์มันจะกลับตาลปัตรหรืออย่างไร พวกผู้ร้าย, พวกเผาบ้านเผาเมืองมันกำลังจะกลายเป็นโจทย์เล่นงานชาวบ้าน เล่นงานเจ้าหน้าที่ที่ออกไปดูแลความสงบให้กับบ้านเมือง พวกเขาคือผู้กำหนดชะตากรรมบ้านเมืองใช่ไหม.. ซึ่งผมได้มีโอกาสพูดคุยกับพวกเขาบางคนก็รู้สึกเห็นใจและชี้แจงให้เข้าใจว่า คงไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนอะไรหรอก ขั้นตอนมันอีกยาว...แม่ทัพนายกองของพวกคุณคงไม่ทิ้งขว้างพวกคุณหรอก..
ทั้งๆ ที่ส่วนลึกผมอยากบอกพวกเขาว่า....บางทีแม่ทัพนายกองของพวกคุณบางคน บางรายก็ไม่ไหว ไม่มีศักดิ์ศรีจริงๆ พวกคุณน่าจะตบเท้าชักแถวไปคุยกับบรรดาท่านๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน...
แต่ผมก็ได้แค่แอบคิดเท่านั้น!!!!