ASTVผู้จัดการรายวัน - “โสภณ ซารัมย์” ปัดเอี่ยวโครงการรถไฟฟ้า เล็งฟ้องกลับฐานเปิดสำนวน ตร.กลั่นแกล้ง จวก "เหลิม" หวังกลบประเด็นอภัยโทษ-นิรโทษกับการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ล้มเหว ด้าน “เหลิม” ท้าให้ฟ้อง ขู่กลับ แฉรอบหน้าถอนรากถอนโคน ตำรวจคุมตัว “ประพันธ์” ค้นเงิน-ฝากขัง ไม่ตัดประเด็นรถไฟฟ้า
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (25พ.ย.) ที่รัฐสภา นายโสภณ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะอดีต รมว.คมนาคม สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แถลงข่าวโต้ตอบ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ชี้แจงกระทู้ถามสดในสภาผู้แทนราษฎร กรณีปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม โดยมีการพาดพิงและตั้งข้อสังเกตถึงการทุจริตโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสีต่างๆในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้วว่า ถือเป็นการสร้างละครในสภาอันทรงเกียรติ และเป็นการพยายามสร้างข้อมูลกลบประเด็นความพยายามผลักดันพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ หรือแนวคิดในการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม กับการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ล้มเหวของรัฐบาล ซึ่งกำลังจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
**ไม่เคยเกี่ยวโครงการรถไฟฟ้าทุกสาย
ตนขอยืนยันในความบริสุทธิ์เพราะในระหว่างที่ทำหน้าที่ รมว.คมนาคม ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีใดทั้งสิ้น รวมถึงไม่เคยมีความสนิทสนมกับผู้รับเหมา หรือแม้แต่การเรียกข้าราชการมาสั่งการใดๆที่เอื้อผลประโยชน์ให้แก่ใครในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่มีการอ้างถึงได้เคยมีการอภิปรายครั้งถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ และได้ชี้แจงไปแล้ว อีกทั้งกรณีนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่วนที่มีการโยงถึงการกู้เงินจากประเทศญี่ปุ่นนั้น โดยองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) แทนที่จะกู้เงินภายในประเทศ ที่ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า มีคนนำส่วนต่างของดอกเบี้ยมาแบ่งกัน เรื่องนี้ขอชี้แจงว่าการกู้เงินไจก้ามีอัตราดอกเบี้ยที่ 3.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นดอกเบี้ยที่ถูกกว่าการกู้ในประเทศไทยจริง แต่ก็ไม่ได้นำมาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว ขณะที่กรณีที่มีความพยายามเชื่อมโยงว่า การยกเลิกสัญญาในส่วนการวางราง หรือสัญญาที่ 5 ของรถไฟฟ้าสายสีม่วง เกี่ยวข้องกับการทุจริตนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เหตุเพราะไจก้าเป็นผู้บอกให้เลิกสัญญา เนื่องจากผู้ดำเนินการขาดคุณสมบัติไม่ตรงกับระเบียบของไจก้า
**ฟ้องกลับฐานเปิดสำนวน ตร.แกล้ง
ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชันนั้น นายโสภณชี้แจงว่า โครงการนี้มีการลงนามตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และมีการดำเนินการจัดสรรกรอบวงเงินถมทราย สำนักงบประมาณเป็นผู้อนุมัติ ไม่เกี่ยวกับรัฐมนตรี ส่วนรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิตนั้นยังไม่มีการลงนาม
“ยังไม่มีการดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ แต่กลับมาเอาข้อมูลมาเปิดเผย ดังนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ต่างหากที่อาจเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157” นายโสภณ ระบุ
**ลั่นฟ้องแพ่งทั้ง “เหลิม-พิเชษฐ์”
นายโสภณ กล่าวอีกว่า จากที่ติดตามข้อมูล ทราบว่ามีการพยายามโยงทุกเรื่องเข้ามาเกี่ยวข้องกับรัฐบาลสมัยที่ผ่านมา ยืนยันว่าตั้งแต่ที่ตนเองรับหน้าที่รัฐมนตรี ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยวกับผู้รับเหมาต่างๆ
ส่วนข้อสังเกตว่า บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ บมจ.ซิโน-ไทย ได้รับงานประมูลของรัฐบาลในช่วงที่พรรคภูมิใจไทยดูแลกระทรวงคมนาคมนั้น นายโสภณปฏิเสธ โดยยืนยันว่า ขั้นตอนการประกวดราคาของราชการ มีระเบียบการจัดจ้างที่ชัดเจน มีการตรวจสอบทุกขั้นตอน อีกทั้งยังมีสำนักอัยการสูงสุด และสำนักงบประมาณ ที่ทำหน้าที่ควบคุมการประกวดราคา ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายอยู่แล้ว รัฐมนตรีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
“ผมจะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายที่ทำให้เสียชื่อเสียง แก่ ร.ต.อ.เฉลิม และนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ผู้ตั้งกระทู้ ยังไม่มีการประเมินว่าจะเรียกค่าเสียหายเท่าไร แต่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการฟ้องร้องจะมอบให้มูลนิธิพิการทางสมอง และเชื่อว่า ร.ต.อ.เฉลิม ต้องการสร้างตัวเองเป็นฮีโร่เพื่อหวังส้มหล่นหากมีการปรับคณะรัฐมนตรี” นายโสภณ กล่าว
**ซัดนำคดีอาญาเป็นเกมการเมือง
ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เมื่อมีการเปลี่ยนตัวปลัดคมนาคมคนใหม่ เช่นนี้พรรคเพื่อไทยยังไม่พอใจอีกหรือ อีกทั้งการตั้งกระทู้ถามในสภาฯของนายพิเชษฐนั้น เหมือนใช้ที่ประชุมสภาฯอักศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องมือในการทำลายคนอื่น และคดีก็ยังอยู่ในระหว่างการสอบสวน แต่กลับมีคนทำตัวเป็นศาลตัดสินความผิดของผู้เสียหายไปแล้ว รวมไปถึงทัศนคติของ ร.ต.อ.เฉลิมต่อพรรคภูมิใจไทยก็มีเจตนาพาดพิงในทางไม่ดีมาโดยตลอด และกลับนำสำนวนการสอบสวนตำรวจออกมาเปิดเผยและพิพากษาเองอาจจะเป็นการชี้นำให้พนักงานสอบสวนสรุปผลเป็นแนวทางเดียวกัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ขัดรัฐธรรมนูญ และหากทางพรรคภูมิใจไทยพบว่าผิดกฎหมายจริงก็จะดำเนินการตรวจสอบกลับเช่นกัน
** เหลิมแจงทันควันไม่ได้เล่นละคร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังนายโสภณแถลงจบ ร.ต.อ.เฉลิม ได้เดินทางมาขอแถลงข่าวต่อทันที โดยกล่าวว่าไม่ใช่เป็นการเล่นละคร ตนไม่ได้สร้างเรื่องเพื่อกลบประเด็นทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ หรือน้ำท่วม ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คนในบ้านต้องรู้ คนขับรถ คนที่แบกเงินเข้าบ้าน หรือแม่บ้านรู้เห็นทั้งนั้น และไม่ใช่นำมาจากสำนวนของตำรวจ แต่มีแหล่งข่าวเชื่อถือได้นำข้อมูลมาบอกให้ตนทราบ นำภาพในกล้องโทรทัศน์วงจรปิดมาให้ดู และตนที่กำกับดูแลสตช. จะได้นำข้อมูลไปบอกตำรวจ
**ขู่ 2-3 อาทิตย์ ถอนรากถอนโคน
ทั้งนี้ ย้ำไปหลายครั้งแล้วว่าการทุจริตในโครงการรถไฟฟ้าอย่างแน่นอน อย่างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ ที่ตอนแรกจะกู้เงินภายในต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 2,000 ล้านบาท แต่ภายหลังปรากฎว่า ไปกู้เงินจากไจก้าแทน ทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวนั้นไม่ต้องเสีย แล้วพวกอุบาทว์ก็เอาเงินดังกล่าวไปให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เป็นพรรคพวก เพื่อความชัดเจน ผมเตรียมมาฉายหนังซ้ำอีกไม่เกิน 2-3 อาทิตย์นี้ รับรองถอนรากถอนโคนได้
**ปูดเหตุขัดแย้งรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ส่วนการทุจริตโครงการรถไฟฟ้าที่เกี่ยวกับคดีปล้นบ้านนายสุพจน์นั้น ไม่ใช่รถไฟฟ้าสายสีม่วงอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ซึ่งมีการหักหลังกันในการเรียกรับผลประโยชน์ โดยฝ่ายหนึ่งบอกว่ายังไม่ได้รับ แต่อีกฝ่ายบอกว่าได้รับแล้ว โดยมีผลประโยชน์ประมาณพันกว่าล้านบาท ทั้งนี้สาเหตุที่ตนยังไม่ออกมาแฉ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลมากพอ และยังไม่สามารถเชื่อมโยงถึงกลุ่มนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นที่ได้อภิปรายนั้นทางพรรคภูมิใจไทยระบุว่าจะยื่นฟ้องร้องด้วย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า “เชิญ เถอะพ่อคุณ แต่จะฟ้องผมข้อหาอะไร ในการอภิปรายสภา ผมก็ไม่ได้เอ่ยชื่อคุณโสภณ สักคำ แล้วจะเอาอะไรมาฟ้อง หากจะฟ้องก็ฟ้องเลยเชิญ ช่วงนี้ผมไม่โดนฟ้อง ไม่มีคดี ก็รู้สึกเหงาเหมือนกัน แต่ระวังนะหากฟ้องเท็จ จะโดนผมฟ้องกลับ”
** นักการเมืองยากจนอยู่เบื้องหลัง
กรณีพรรคภูมิใจไทยระบุ ร.ต.อ.เฉลิม กำลังใช้อำนาจแทรกแซงการทำงานของตำรวจ และมีการเปลี่ยนสำนวนคดี ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนทำตามอำนาจของกฎหมาย เพราะเป็นรองนายกฯ ที่ดูแลงานของ สตช. เป็นไปตามกรอบกฎหมาย ไม่ถือว่าแทรกแซง
อย่างไรก็ตาม ตนทราบว่ามีนักการเมืองที่ยากจนที่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่ได้บ้าอำนาจ หรือ ทำตัวเกเรให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปค้นบ้าน แม้จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ส่วนหนึ่งที่ไม่ทำเพราะขณะนี้ต้องยึดคดีปล้นทรัยพ์เป็นหลัก สำหรับประเด็นทุจริตหรือนักการเมืองนั้น มองว่าไม่เกี่ยวกับคดีปล้น จึงไม่ได้สั่งให้ไปค้น ไม่ได้เข้าไปล้วงลูก
**ลั่นไม่กลัวถูกด่าจะค้นอีก 3-4 หลัง
ส่วนจะสาวไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้หรือไม่ นั้นหากจับนายโก้ ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม และเป็นผู้ที่เขาสั่งให้มาปล้นได้ จะมีความชัดเจน ประเด็นต่างๆ เหล่านี้มีคนบอกตนชัดเจนมาก ถึงขนาดว่าวันที่ถูกปล้นผู้เสียหายนั้นไปปรารภกับใครบ้าง ซึ่งงานนี้ตนจะขุดรากถอนโคนบุคคลที่ทำผิด ส่วนนายโก้ยังไม่ได้ติดต่อมา แต่ขณะนี้ตนได้ให้ตำรวจภูธรภาค 4 เดินทางไปประเทศลาวแล้ว โดยหลังจากนี้หากตนรู้อะไรมาก็จะไปบอกตำรวจ อย่างไรก็ตามอาชญากรรมที่สมบูรณ์ มักทิ้งร่องรอยและหลักฐานไว้มากที่สุด อยู่ที่ตำรวจว่าจะมีความเชี่ยวชาญหรือไม่ เรื่องนี้ในทางพฤตินัยรู้แล้วว่าโยงถึงนักการเมือง เขาถึงเต้นเป็นเจ้าเข้า ซึ่งหากตนไม่กลัวที่ถูกสื่อด่า จะส่งตำรวจไปค้นบ้าน 3-4 หลังข้างๆ เชื่อว่าจะได้อีกหลายพัน เพราะกระทรวงคมนาคม เป็นกระทรวงทองฝังเพชร คนขี้โกงจะหาเงินได้เยอะ “ส่วนเจ๊ติ๋ม เจ๊ตุ๋ย และน้องแน็ท ที่วันนี้สื่อลงว่า น้องนัท ผมยังยืนยันว่า น้องแน็ท” รองนายกฯผู้นี้กล่าวอีก
**ตำรวจจ่อเรียก "สุพจน์" ให้การเพิ่ม
ส่วนความคืบหน้าของคดี พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น.เปิดเผยว่า ยังไม่ทิ้งประเด็นการทุจริตโครงการรถไฟฟ้า หลังจาก ร.ต.อ.เฉลิมได้พูดต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร แต่ยอมรับว่ายังไม่มีพยานหลักฐานที่จะสามารถเชื่อมโยงไปถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องนอกเหนือจากนายวีระศักดิ์ เชื่อลี หรือโก้ ผู้ต้องหาคนสำคัญที่ยังหลบหนีการจับกุม คาดกบดานอยู่ในประเทศลาว หลัง ร.ต.อ.เฉลิมแสดงความเป็นห่วงว่าอาจถูกฆ่าตัดตอน
ส่วนหลักฐานที่เป็นกระเป๋าขนเงินที่ ร.ต.อ.เฉลิม อ้างถึง พล.ต.ท.วินัย กล่าวว่า เบื้องต้นเป็นข้อมูลที่ตรงกับแนวทางการสืบสวนของตำรวจ โดยเตรียมเรียกตัวนายสุพจน์ เข้าให้ปากคำเพิ่มเติม หลังคำให้การครั้งแรกเรื่องจำนวนเงินที่ไม่ตรงกับเงินของกลางที่ตรวจยึดมาได้ ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงเจตนาด้วยว่าเข้าข่ายให้การเท็จต่อเจ้าหน้าที่หรือไม่
พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. เปิดเผยว่า เจ้าหนี้ของนายสิงห์ทอง ใจชื่นชม หรือไก่ ได้นำเงินมาคืนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังจากนายสิงห์ทอง ได้นำเงินที่ปล้นไปใช้หนี้ที่เคยกู้ยืมเป็นจำนวนเงิน 3 แสนบาท ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดเงินของกลางเพิ่มเป็น 18 ล้านบาทเศษ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการตรวจค้น 10 จุด ในกรุงเทพฯและพระนครศรีอยุธยาที่เป็นจุดต้องสงสัยว่านายประพันธ์ เรียงเครือ 1ในผู้ต้องหาที่ยังคงให้การปฎิเสธอยู่ จะนำเงินไปซุกซ่อนไว้ยังไม่พบของกลางหรือเบาะแส
**คุม"ประพันธ์"ค้นเงิน-ฝากขัง
ต่อมาเวลา 15.00 น.หลังจากช่วงเช้าเจ้าหน้าชุดสืบสวนเดินทางไปขอหมายค้นบ้านพักนายประพันธ์ ที่ อ.ลำลูกกา คลอง 3 จ.ปทุมธานี ที่ศาลอาญา ปรากฏว่า ศาลยังไม่อนุมัติหมายค้นให้ เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ที่ทางตำรวจยื่นเรื่องขออยู่ เพราะเป็นคดีที่ละเอียดอ่อนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งในส่วนของการตรวจค้นล็อกเกอร์เก็บสิ่งของของนายประพันธ์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่พบเงินของกลาง หรือสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ซึ่งทำให้ขณะนี้เป้าหมายหลักอยู่ที่บ้านพักของนายประพันธ์ ว่าจะมีเงินซุกซ่อนอยู่หรือไม่
เวลา 14.00 น.ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง นำตัวนายประพันธ์ยื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรก โดยคำร้องฝากขังสรุปว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ย.54 เวลา 20.30 น.ได้มีคนร้าย 6 คน สวมหมวกปกปิดคลุมใบหน้าร่วมกันใช้รถยนต์ และบุกเข้าไปในบ้านของอดีตปลัดกระทรวงคมนาคม เลขที่ 77 ซ.ลาดพร้าว 64 แยก 2 แขวง-เขตวังทองหลาง กทม.จับสาวรับใช้ 2 คนบังคับพาขึ้นไปที่ห้องนอนชั้น 2 แล้วลักเอาเงินไปโดยหลังเกิดเหตุผู้ต้องหาได้รับเงินที่ปล้นมาจำนวน 9 ล้านบาทโดยทุจริต พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธ, รับของโจร ฯลฯ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ
พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนเรื่อยมา แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นต้องสอบพยานอีก 8 ปาก รอผลการตรวจประวัติการต้องโทษ, รอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง จากกองพิสูจน์หลักฐาน ฯลฯ ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขอฝากขังผู้ต้องหาไว้เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.-6 ธ.ค.นี้ โดยไม่ขอคัดค้านการประกันศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้.